Topics
พระเจ้าผู้ทรงสูงส่งยิ่ง
กล่าวถึงผู้แทนและผู้ช่วยของพระองค์ ในฐานะความไว้วางใจที่มอบไว้ในตัวมนุษย์
นั่นคือความรู้ที่สามารถทำให้มนุษยบรรลุข้อผูกมัด และภารกิจในฐานะผู้ช่วยของพระเจ้าและอำนาจหน้าที่ในการสั่งการควบคุมเหนือจักรวาลนั้นคือความไว้วางใจที่ถูกมอบให้
การที่ผู้หนึ่งสามารถใช้สิ่งที่ได้รับมอบความไว้วางใจได้ด้วยการอนุญาตของเจ้าของ
ทำให้ระลึกถึงความจริงนี้ในจิตใจว่า
สิ่งนี้ความจริงไม่ใช่ของฉันและฉันได้รับมอบหมายให้เป็นเพียงผู้ดูแล
ความคู่ควรแก่การไว้วางใจหมายความว่า
ผู้หนึ่งจะไม่อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ได้รับความ
ไว้วางใจ และใช้สิ่งนั้นด้วยความระมัดระวัง
ยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับมอบไม่ใช่ความสำเร็จ เนื่องจากคุณสมบัติของเขา
พระเจ้าผู้ทรงเมตตายิ่ง
ประกาศว่า เรามอบหมายอาดัมด้วยความไว้วางใจและให้อำนาจในการใช้อำนาจหน้าที่
เพื่อว่าเขาจะสามารถใช้ความไว้วางใจดังกล่าว ตามความต้องการและเจตนารมณ์ของเรา
มีบางสิ่งที่ต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ “ความรู้ที่ได้รับ” (Acquired
Knowledge) และ “ความรู้ซึ่งนำเสนอให้”
(Presented Knowledge) ความไว้วางใจที่มอบให้มนุษย์สามารถบังคับใช้เมื่อเขามีความรู้ซึ่งนำเสนอให้อย่างดีเยี่ยมเท่านั้น
ความรู้ที่ได้รับไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ในเรื่องนี้
เพราะความรู้ที่ได้รับเกี่ยวข้องกับความเฉลียวฉลาดทางโลกและความรู้สึกในด้านวัตถุธาตุเท่านั้น
ความรู้นี้ได้รับโดยผ่านทางความมีจิตสำนึกและสติปัญญา
ซึ่งมนุษย์ทั้งมวลเรียกว่าความเข้าใจและสามัญสำนึก
เมื่อความมีจิตสำนึกและสติปัญญาได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบและปราดเปรื่องแล้ว
จะดูเหมือนสลับซับซ้อนทีเดียว เพราะพบว่าสติปัญญาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความเขลา
ความอัตคัดความเข้าใจและการขาดแคลนวิสัยทัศน์เลย ตัวอย่างเช่น
เมื่อเรานำกรณีวิชาสถิติมาพิจารณา ขั้นแรกตัวเลขแรกที่สอนกันคือเลขหนึ่ง
ถ้าเลขหนึ่งไม่ถูกยอมรับ การเรียนเลขสองจะไม่ถูกนำมาพิจารณา
และถ้าเลขสองไม่ได้รับการรับรู้เลย สี่จะไม่ถูกกล่าวถึงความรอบคอบและความมีเหตุผลเรียกร้องว่า
เราควรพิจารณาว่า มีอะไรก่อนหน้าเลขหนึ่ง คำถามในลักษณะนั้น
อนุมานว่าไม่ควรจะถามเพราะสติปัญญาไม่มีคำตอบให้
เราได้รับการบอกเล่าว่า
ทารกที่เกิดได้รับการตั้งชื่อว่า ทอม ดิค หรือ แฮรี่ ด้วยเวลาผ่านไป
ทารกคนเดียวกันนี้ ได้เปลี่ยนแปลงรูปพรรณสัณฐานสู่ลักษณะที่ไม่สามารถหาร่องรอยเดิมออกมาได้อีกเลย
ปรากฏชัดว่าทารกอันตรธานไปเบื้องหลัง ลักษณะหนุ่มสาว และด้วยเวลาผ่านไปทุกชั่วโมง
ทุกนาที ความหนุ่มสาวก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
ไปสู่รูปพรรณสัณฐานซึ่งไม่มีภาพลักษณี่สะท้อนความหนุ่มสาวหลงเหลืออยู่เลย
บัดนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดเพียงใด
ที่ทารกซึ่งเกิดในวันนี้ผู้ได้รับการตั้งชื่อว่า ทอม
และชื่อเดียวกันนี้ถูกนำติดตัวไปจนกระทั่งอายุ 80 ปี
สติปัญญานั้นผิดพลาด
บกพร่องและขาดความรอบคอบมากมายเพียงใดที่มีเพียงชื่อเดียวสำหรับทอมซึ่งปรากฏการเปลี่ยนแปลงตลอดมา
ในวัย 80 ปีที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากทารกซึ่งเกิดเมื่อ 80
ปีที่ผ่านมา สิ่งที่นับว่ามีคุณค่าควรแก่การสังเกตคือ
เมื่อสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วยประการทั้งปวง ดังนั้น
ทำไมชื่อของสิ่งนั้นจึงยังคงเดิมและไม่เปลี่ยนแปลง เป็นที่ชัดเจนว่าคำถามนี้เหตุผลและสติปัญญา
ไม่มีคำตอบให้เช่นกัน
เด็กถูกส่งไปโรงเรียน
เพื่อว่าจะได้เรียนรู้การใช้สติปัญญาและเหตุผล
แต่สิ่งที่เด็กได้รับการสั่งสอนที่โรงเรียนทั้งหมดนั้นไร้แก่นสาร
และเป็นตรรกะที่เสียหาย ซึ่งยังถูกเรียกว่าเป็นตรรกะและเหตุผล
ทีนี้เด็กที่ไร้เดียงสาซึ่งไม่คุ้นชินกับมาตรฐานทางสติปัญญาที่รู้จักกัน
เกิดถามว่าอะไรที่มาก่อน กอไก่ หรือถามว่า ทำไมกอไก่ จึงไม่ถูกเรียกว่า ขอไข่
และขอไข่จึงไม่ถูกเรียกว่ากอไก่ สติปัญญาและเหตุผล ก็ไม่มีคำตอบให้อีก
ความเป็นจริงก็คือสมมติฐานและการคาดคะเนจำนวนไม่มากนัก
ถูกรวบรวมขึ้นเพื่อสร้างอาคารการเรียนรู้และยืนกรานว่าสมมติฐานนี้ควรต้องได้รับการยอมรับ
และนำสู่การปฏิบัติเสมือนความเป็นจริงแต่นี่เป็นความเป็นจริงประเภทไหน
ที่ไม่มีการอธิบายทางตรรกะ และเราต้องยอมรับการคาดคะเนอย่างมืดบอดเหล่านี้
เพื่อแสดงการเข้าใกล้ความไม่มีเหตุผลของตัวเราเอง ยิ่งผู้หนึ่งเชื่อและยอมรับข้ออนุมาน
สมมติฐานและการคาดคะเนนี้มากเท่าใด
เขาก็ยิ่งต้องพิจารณาการได้รับการเรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น
ผู้หนึ่งมีความตั้งใจที่จะเรียบเรียงปริญญาเอกในวิชาสถิติ
โดยละทิ้งข้อเท็จจริงที่ว่า องค์ความรู้ทั้งหมดของวิชาคณิตศาสตร์ถูกกำหนดขึ้นบนสมมติฐานและการคาดคะเน
ผู้หนึ่งต้องมีการสั่งสมการคาดคะเนอย่างยอดเยี่ยม
ความรอบคอบและการพิจารณาใคร่ครวญบอกว่า
ชายผู้นี้ได้ยอมให้การคาดคะเนควบคุมตัวเองมากกว่าบุคคลอื่นได้ทั้งสิ้น
นั่นคือในโลกของการคาดคะเนเขาได้รับตำแหน่งดังกล่าวซึ่งผู้อื่นไม่มีชายลักษณะดังกล่าวถูกเรียกว่า
นักวิชาการปริญญาเอก ไม่มีกฎทางตรรกะหรือปรัชญาใดๆ ยอมเราให้ยอมรับว่า
สิ่งที่วางพื้นฐานอยู่บนการคาดคะเนนั้น
สามารถได้รับการยอมรับว่าคือความเป็นจริงได้ ในการเล่าเรียนทาง
มายาคติ และการคาดคะเนนั้น
การดำรงของสติปัญญามีความสำคัญมาก และในการรับรู้ความเป็นจริง
เราต้องขจัดชีวิตแบบมายาคติ และความรู้สึกแบบคาดคะเนทิ้งไปเสีย
ผู้หนึ่งไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้
ถ้าเขาไม่ได้รับการปลดปล่ยจากความรู้สึกแบบมายาคติ
ความแตกต่างระหว่งศาสตร์ทางจิตวิญญาณและศาสตร์ทางโลกคือ สติปัญญาเรียกร้องที่จะยอมรับและรับรองหลังจากการสังเกตการทดลองและเข้าใจแล้วเท่านั้น
แต่เมื่อมาถึงความศรัทธา และความเชื่อ
ถ้าผู้หนึ่งเริ่มเปรียบเทียบทั้งสองสิ่งนี้กับสติปัญญา เขาจะพบว่าตัวเองไม่มีตัวตน
สำหรับเหตุผลพื้นๆ ที่ตาไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตายิ่งได้ พระเจ้า คุณลักษณะและความรู้ของพระองค์อยู่เหนือขอบเขตของความรู้สึกแบบมายาคติ
ศาสดาของพระเจ้าทั้งหมดและคัมภีร์ของพระองค์รวมทั้งคัมภีร์อัลกุรอาน บอกเราว่า
การที่มนุษย์จะเห็น สัมผัสพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง
และมอบการยอมจำนนของตนต่อหน้าพระองค์นั้นเป็นไปได้มากที่สุด การมองเห็น สัมผัสและรู้สึกต่อการปรากฏอยู่ของผู้ทรงสูงส่ง
จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผู้หนึ่งสามารถก้าวออกจากวงจรความรู้สึกแบบมายาคติและความรู้ที่ได้รับเท่านั้น
มีขอบเขตของสติปัญญาอยู่สองขอบเขต
หนึ่งคือ ถึงแม้ว่าผู้หนึ่งมีความรู้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความรู้ดังกล่าว
และตราบเท่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เขาก็ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใด และอีกขอบเขตหนึ่งคือ
ผู้ที่เข้าไปในอาณาเขตของความมีสติปัญญาอย่างไม่เจตนา
แต่โดยไม่ได้อ้างอิงสติปัญญาของตนเอง และหลังจากนั้นตัวสติปัญญาเองเริ่มนำทางเขา
และในการนำทางโดยสติปัญญานี้ เขาสำรวจข้อมูลหลากหลาย จนค้นพบกฎทางวิทยาศาสตร์มากมายและจัดการสร้างสรรค์ประดิษฐ์กรรมต่างๆ
สิ่งนี้ชี้เป็นนัยอย่างชัดเจนว่า ในการที่จะมีสติปัญญานั้นต้องใช้สติปัญญา
และในการมีความรู้นั้นจำเป็นต้องปฏิเสธความรู้ที่มีอยู่แล้ว
และยิ่งประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตัวเองมากเท่าใด เขาก็จะซึมซาบความรู้เข้าไปมากเท่านั้น
ไม่ว่าความรู้นั้นจะเกี่ยวพันกับมายาคติหรือ ความเป็นจริงก็ตาม
กฎ ในการเรียนความรู้ใดๆ
บุคคลต้องปฏิเสธตัวเองและความรู้ที่มีอยู่แล้ว
ทันทีที่ลืมความรู้ที่ซึมซับอยู่ก่อนแล้ว ขอบฟ้าใหม่ของความรู้ก็จะเปิดสู่เขา
กฏนี้ได้อย่างเท่าเทียมกันกับความรู้ที่ได้รับ (ฮูซูลี) และความรู้ซึ่งนำเสนอให้
(ฮุฏูรี) อันดับแรกที่สุดสำหรับผู้ที่จะเป็นมุสลิม
เขาต้องปฏิเสธสิ่งที่ตั้งใจจะยอมรับ นั่นคือ ครั้งแรกเขาปฏิเสธพระเจ้า
ผู้หนึ่งไม่สามารถเป็นมุสลิมได้ ในการเป็นมุสลิมเงื่อนไขแรกคือการปฏิญาณตน
(กะลีมะฮ์ตอยยิบะฮ์) ในการที่เขากล่าว “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด” ลาอิลาฮะ และหลังจากกล่าว “นอกจากพระเจ้า” (อิลลัลลอฮ์) หมายความว่า “ก่อนรับรู้พระเจ้าเขาปฏิเสธผู้ใดก็ตามว่า มีคุณค่าควรแก่การเคารพภักดี
หรือกล่าวได้ว่า เงื่อนไขแรกในการเป็นมุสลิม
คือการรบรู้กฎแห่งการปฏิเสธและการยอมรับในความเป็นจริง เมื่อการปฏิญาณตนของอิสลาม
(ลาอิลาฮะอิลัลลอฮ์ มุฮัมมัดร่อซูลุ้ลลอฮ์) ได้รับการปฏิญาณขึ้น ผู้หนึ่งจะต้องกล่าวว่า
ข้าพระองค์ขอปฏิเสธว่าการเคารพภักดีเทพเจ้าหรือพระเจ้าที่อาจเป็นพระเจ้าตามความรู้ที่เป็นสมมติฐาน
และยืนยันว่า พระเจ้า (ที่แท้จริง) คือ (พระเจ้า) (อัลลอฮ์) ซึ่งท่านศาสดา
(ขอความสนติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน) เป็นพยานยืนยัน
บรรดาศาสดา และศาสนทูตของพระเจ้าที่ยังคงอยู่เหนือขอบเขตของสมมติฐษนทางความรู้สึกเสมอ
ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในปริมณฑลของความรู้สึกที่แท้จริง ด้วยการกล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้า
ซึ่งได้รับการระบุและยืนยันโดย มุฮัมมัดศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า
(ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน)” บุคคลผู้นั้นได้ประกาศว่าหลังจากตัดขาดจากความรู้สึกที่เป็นสมมติฐาน
และสติปัญญาแล้ว ก็เข้าไปสู่ความรู้สึกที่เป็นจริงตามทรรศนะของครูผู้เลื่อมใส
ศรัทธาและผู้แจ้งข่าว นั่นคือ ท่านศาสดา (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน)
ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี
และถูกนำเสนอในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล
คนส่วนใหญ่รู้จักควาญะฮ์ชัมซุดดีน
อะซีมี เพราะรูปแบบการเขียนที่เป็นเลิศ ท่านเป็นเจ้าของหนังสือมากกว่า 13 เล่ม
รวมทั้งแผ่นพับ และเอกสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งพูดถึงขอบข่ายความรู้สึกทางด้านอภิปรัชญา
นอกจากกลวิธีการเขียนที่ดีเลิศแล้ว
สำนวนภาษาที่ใช้ยังง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไปด้วย
ผลงานของท่านในการสร้างความเป็นวิทยาศาสตร์
และความเป็นสถาบันให้กับองค์ความรู้เก่าแก่ ที่ท่านรับมาจากครูของท่าน
ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้นอกจากความโดดเด่นน่าสนใจ
ควาญะฮ์ ชัมซุดดีน
อะซีมี ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากครูของท่านคือท่าน กอลันดาร บาบา เอาลิยาอ์