Topics

พระเจ้าทรงปรารถนาสิ่งใด

พระเจ้าผู้ทรงกรุณาปรานี ได้สร้างจักรวาลขึ้นมา เพื่อว่าสิ่งถูกสร้างซึ่งได้รับมอบความไว้วางใจในภารกิจและหน้าที่ ด้วยการปฏิบัติตามเจตนารมณ์และหน้าที่ พวกเขาจะก้าวหน้าไปบนแนวทางนั้น ซึ่งจะค่อยๆ นำพาพวกเขาไปสู่พระเจ้า พระเจ้าทรงปรารถนาจากสิ่งถูกสร้างของพระองค์ว่า สิ่งถูกสร้างควรต้องรับรู้ความเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ หลังจากเห็น ตระหนักและสนทนากับพระองค์แล้ว ในจิตใจของสิ่งถูกสร้างจะต้องตั้งมั่นอย่างมั่นคงว่า พระองค ผู้ทรงสร้างเราจะปกป้องเราด้วยเช่นกัน พระองค์คือผู้อารักขาและจัดเตรียมทรัพยากรธรรมชาติทั้งมวล ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อวิถีชีวิตและทำให้การดำรงชีวิตของเรามีความราบรื่นไว้ให้

เป้าหมายการจัดการที่ประณีต และระบบที่มั่นคง ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อปกป้องรักษามนุษย์นี้ เพียงเพื่อทำให้สิ่งนี้ชัดเจนต่อมนุษย์ว่า พระองค์สร้างพวกเขาขึ้นมาด้วยความรักความทนุถนอมของพระองค์ และสิ่งถูกสร้างมีความรับผิดชอบในมารยาทที่เหมาะสมต่อความรัก อันเป็นเหตุทำให้พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา และพวกเขาควรจะต้องแสวงหาความสัมพันธ์กับพระผู้อภิบาล ผู้ทรงรังสรรค์ ด้วยความรักดังกล่าว พลังความสัมพันธ์ที่ผูกมัดระหว่างสรรพสิ่งกับผู้สร้าง ควรจะต้องมีแต่ความรักเท่านั้น พระเจ้าทรงแสดงความรักต่อสิ่งถูกสร้างด้วยการสร้างพวกเขา เตรียมปัจจัยยังชีพ การปกป้องคุ้มครองกำหนดสมรรถภาพซึ่งสะท้อนคุณลักษณะของพระองค์เองไว้ให้ และบัดนี้ พระองค์ ปรารถนา ที่จะให้สิ่งถูกสร้างแสดงความรักต่อพระองค์เช่นกัน ด้วยการยอมรับการสร้างสรรค์ของพระองค์ เข้าใกล้ชิดด้วยความรักและมีชีวิตตามที่พระผู้อภิบาลซึ่งเป็นที่รักทรงปรารถนา

ความรักของพระเจ้าต่อสิ่งถูกสร้างในมาตราส่วนเล็กๆ สามารถเห็นได้จากความรักของแม่ที่มีต่อลูก แม่คือเครื่องมือของการสร้างสรรค์ พัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูกเริ่มต้นในครรภ์ของแม่ แม้ว่าแม่จะไปมีส่วนร่วมในการเจริญเติบโตของลูกนางเอง แต่ความรักของนรงก็ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ สำหรับลูกซึ่งเป็นกระบวนการผลิตตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในครรภ์แม่ ได้รับความรักจากแม่ของเขา และไม่มีผู้ใดอื่นเลยที่สามารถรู้สึกถึงความรักต่อลูกอันมากมายดังกล่าวได้ ถ้าลูกที่มีสามัญสำนึกและมีจิตใจปกติปฏิเสธการดำรงอยู่ของแม่แล้ว ก็สามารถจินตนาการได้โดยง่ายว่า ความรู้สึกของแม่จะเป็นอย่างไร แม่เท่านั้นที่บอกได้ถึงความเลวร้ายที่นางรู้สึก ตัวอย่างที่มีชีวิตอื่นๆเกี่ยวกับความรักและการสร้างสรรค์ก็คือพ่อ พ่อมีความมานะบากบั่นในการเลี้ยงดูลูก มอบการศึกษาและการอบรม ซึ่งสามารถทำให้ลูกพึ่งตนเองได้และมีสถานภาพทางสังคม อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ หากลูกไม่ยอมรับพ่อของตน ปฏิเสธที่จะรู้จักเขา ถือว่าการสมาคมกับพ่อไม่มีประโยชน์และเสียเวลา ความรู้สึกของพ่อจะเป็นอย่างไร ไม่มีใคร

เข้าใจสิ่งนี้ได้นอกจากผู้เป็นพ่อเองเท่านั้น หรืออย่างน้อยก็ผู้มีความสามารถที่จะตระหนักถึงความรักของพ่อได้

ในความเป็นจริง พระผู้สร้างที่แท้จริงคือพระเจ้า พ่อแม่เป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำเอาการสร้างสรรค์ของพระเจ้าออกมา พ่อแม่รู้ความเป็นจริงนี้ดีว่า การที่พวกเขาจะมีลูกหรือไม่ ? ลูกยังคงปฏิสนธิอยู่หรือมีชีวิต ปราศจากข้อบกพร่องทั้งมวลหรือไม่ ? ปัญญาทับ หรือ ฉลาด ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งยิ่ง แม้ผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าก็ยอมรับว่า มีบางสิ่งที่ทรงพลังอำนาจควบคุมจัดการและดำเนินระบบจักรวาลที่ไม่น่าเชื่อนี้อยู่ นี่คือ สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแทนที่จะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า พวกเขากลับเรียกว่าธรรมชาติ

ถึงอย่างไรก็ตาม การรับรู้ของพ่อแม่ว่า ตนเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างลูกแทน และถ้าไม่ใช่เจตนารมณ์ของธรรมชาติ ตนก็ไม่ มีวันเป็นพ่อแม่อย่างเด็ดขาด พวกเขาเพียงอ้างเหตุผลที่มุ่งหวังจะได้รับการยอมรับและการยกย่องที่เหมาะสมจากลูกๆ ในความเป็นจริงความต้องการนี้ เป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณลักษณะส่วนพระองค์ของพระผู้สร้าง นั่นคือพระผู้อภิบาลทรงต้องการให้สิ่งถูกสร้างในจักรวาลต้องยอมรับและตระหนักในพระองค์ ด้วยความรักเดียวกับที่พระองค์ทรงสร้างจักรวาลขึ้นมา เช่นเดียวกับลูก หลังจากไม่เชื่อฟังพ่อแม่ และทำลายคุณค่าทางสังคม ก็จะถูกประกาศว่า เป็นผู้ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เชื่อฟังและสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล เช่นกันถ้าบางคนปฏิเสธที่จะรับรู้พระเจ้าผู้ทรงเมตตายิ่ง เขาก็เป็นผู้ฝ่าฝืน อยุติธรรมและไม่เชื่อฟังเช่นกัน และหลังจากเมื่อผู้นั้นได้เลือกแล้ว เขาเลือกที่จะเป็นผู้ที่เขลาและฝ่าฝืนชีวิตก็จะอับโชค ความสงบสันติจะอันตรธานไปจากชีวิต ความวิตกกังวลจะแสดงบทบาทสำคัญในชีวิตของเขา แต่แม้เมื่อคนบางคนได้สวมกอดกับชีวิตแห่งความวิตกกังวลและทุกข์ยาก กฏเกณฑ์ของพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรก็ยังจัดเตรียมมาตรการป้องกันที่มั่นคงมากพอว่า เขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ และการป้อนปัจจัยยังชีพจะไม่ถูกปฏิเสธให้ดำเนินต่อไป เพียงแต่ความสันติสุขของชีวิตจะไม่มีอยู่อีกต่อไปสำหรับเขา

คนเช่นนั้นจึงถูกกีดกันจากความกรุณาพิเศาแห่งความรักความเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงเมตตา เนื่องจากการออกห่างจากพระองค์

แบบแผนในการนำมาซึ่งความโปรดปราน ความกรุณาพิเศษและความรักของพระเจ้า รวมทั้งกฎระเบียบที่จะมีมิตรภาพสัมพันธ์กับพระเจ้า ได้ถูกเปิดเผยโดยศาสตร์ทางจิตวิญญาร เป้าหมายพื้นฐานของศาสตร์เหล่านี้ (ปราจิตวิทยา) ก็เพื่อให้มนุษย์มีความคุ้นเคยกับกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งตามกฏนี้เคยทำให้สิ่งถูกสร้างสามารถรับความเป็นพระผู้อภิบาลของพระผู้สร้าง ณ วันแห่งการเริ่มต้นว่า

ใช่ โดยแท้จริง เรารับรู้และยืนยันว่า พระองค์คือพระผู้อภิบาลของเรา

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราวันแล้ววันเล่า เป็นสายสัมพันธ์ต่อนเนื่องของเหตุการณ์ การถือกำเนิดของผู้คน ความน่ารักน่าชังในวันทารก ความสนุกสนานในวัยหนุ่ม หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูของวัยหนุ่มย่างเข้าสู่วัยชรา และหลังจากใช้ชีวิตในยามแก่เฒ่า มนุษย์ก็จากไปสู่อาณาบริเวณอื่น ทั้งหมดนี้เป็นสายสัมพันธ์ของเหตุการณ์ซึ่งการถือกำเนิด วัยทารก วันเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่ม วัยแก่ และความตาย เป็นเสมือนห่วงโซ่ที่คล้องกัน ห่วงโซ่นั้นประกอบขึ้นเหมือนกับกากรเชื่อมต่อของรูปแบบและรูปทรงใหม่ๆ ของทุกชั่วขณะทุกเวลา นาที

ผู้นำหรือ ครูทางจิตวิญญาณของผู้เขียน ผู้เป็นความเมตตาของพระเจ้าท่านกอลนดาร บาบา เอาลยาอ์ กล่าวไว้ในหนังสือที่ดีเยี่ยมของท่านว่า

ทุกชั่วขณะและทุกวินาที คือความไม่มีสิ้นสุด (การเริ่มต้น)

นั้นคือคำสั่งของพระเจ้า จงเป็น” (กุน) ซึ่งพระเจ้าทรงกล่าวได้ถูกบันทึกไว้ และบันทึกนี้ถูกเปิดไปเรื่อยๆ เสียงบันทึกนี้จะต้องก้องอยู่ในจักรวาลวันแล้ววันเล่า การปรากฏของมนุษย์บนโลกนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากที่เขาเกิดมาในรูปของทารก เป็นการแสดงซ้ำอีกครั้งหนึ่งของเหตุการณ์เมื่อครั้งอาดัมถูกให้ออกจากสวนสรรค์ ทารกทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้คืออาดัม ซี่งเคยพำนักอยู่ใน

สวนสวรรค์ และหากมิได้กระทำการฝ่าฝืน เขาจะไม่ถูกส่งมายังโลกนี้ การอธิบายโองการศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า

และพระองค์ทรงสร้างเจ้าจากชีวิตหนึ่ง

นักวิชาการของเรายืนยันว่า วลี ชีวิตหนึ่งหมายถึงอาดัม อาดัมจะถูกสร้างซ้ำโดยอาดัม และนี่คือสาเหตุในการเพิ่มขึ้นของอาดัมรุ่นต่างๆ แต่คำถามคืออาดัมกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า และผลของการไม่เชื่อฟังนี้คือ อาดัมถูกสวนสวรรค์ปฏิเสธ และทำให้ต้องออกจากสถานที่ดงกล่าว เพราะสวนสวรรค์เป็นถสานที่ซึ่งมีบรรยากาศที่ผู้ดำรงอยู่ และพำนักในนั้น ต้องเป็นผู้ที่ปราสจากการฝ่าฝืนเท่านั้น และถ้าเราพิจารณาว่า นับเป็นรร้อยศตวรรษที่ผ่านมา อาดัมกระทำการฝ่าฝืนในสวนสวรรค์ ซึ่งผลจากการกระทำดังกล่าว อาดัมต้องออกจากสวนสวรรค์ ดังนั้น สิ่งนี้จึงดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกมากและค่อนข้างจะไม่เป็นเหตุเป็นผล ที่ผู้สืบตระกูลของอาดัม ถูกลงโทษแม้หลังจากเป็นร้อยศตวรรษผ่านมาแล้ว มันทำให้ยุ่งยากใจทีเดียวที่เด็กเกิดในวันนี้ถูกลงโทษจากความผิดกระทำโดยบรรพบุรุษของเราเมื่อนับร้อยศตวรรษที่แล้ว สิ่งนี้ดูจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่คนบางคทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บรหว่างการเดินทางขอตนแล้วหลบหนีไป มีคนอื่นๆ บางส่วนซึ่งเดินทางไปเส้นทางเดียวกัน และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเสียหาย กลับถูกจับและได้รับการลงโทษจากความเสียหายที่เกิดขึ้น มนุษย์ทุกวันนี้ได้รับความวิตกกังวล และเศร้าโศก เพราะจงใจละเลยความจริงและข้อเท็จจริงที่เป็นสาเหตุของการยกย่องอาดัม ก่อนที่เขาจะกระทำการฝ่าฝืน กระบวนการสร้างสรรค์ จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ในการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอาดัมบิดาของเราเคยพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ และหลังจากกระทำการฝ่าฝืน เขาจึงถูกบังคับให้ออกจากสวนสวรรค์ เช่นเดียวกัน ลูกชายของอาดัมทุกคนและลูกสาวของอีฟทุกคน พำนักอยู่ในสวนสวรรค์ ก่อนที่จะมายังโลก พวกเขากระทำการฝ่าฝืนในสวนสวรรค์เหมือนๆ กับบิดามารดาของพวกเขา และภายหลังสวนสวรรค์จึงปฏิเสธพวกเขา จนมาปรากฏตัวอยู่บนโลก

เราบริโภคแสง

เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษยื จะมีความรู้สึกว่า ทั้งสองนี้มีระยะห่างซึ่งกันและกัน ความรู้สึกห่างไกลนี้ มีสาเหตุมาจาความเป็นจร้ง ที่ชีวิตทางด้านวัตถุขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่ถูกจำกัดขอบเขต และเมื่อผู้หนึ่งพยายามคิดด้วยความรู้สึกที่จำกัด ความคิดของเขาก็กลายเป็นถูกจำกัดขอบเขต การวิเคราะห์แนวทางที่ถูกจำกัดขอบเขตของความคิดเปิดเผยว่า แกนชีวิตมนุษย์คือวัตถุนิยม ทุกการเคลื่อนไหวของจิตใจและทุกกิจกรรมที่สัมพันธ์กับสมรรถภาพทางความคิดของมนุษย์ถูกห่อหุ้มด้วยวัตถุ การบริโภคอาหาร การตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อป้องกันจากอากาศร้อนหนาว การใช้ชีวิตทางสังคมซึ่งประกอบด้วยหน่วยครอบครัวมากมาย ฯลฯ ล้วนคือตัวอย่างของชีวิตมนุษย์ในโลกวัตถุ นอกจากปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดของชีวิตมนุษย์แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนทีเดียว นั่นคือไม่ว่าตัวมนุษย์เองจะหมกมุ่นอยู่ในชีวิตทางวัตถุหรือวัตถุจะมีอิทธิพลเหนือชีวิตเขาลึกซึ้งขนาดไหน ผู้นั้นก็จะต้องละจากชีวิตทางวัตถุนี้ไปในที่สุด เมื่อความตายมาถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับวัตถุและโลกวัตถุก็มาถึงจุดสิ้นสุด เรือนร่างทางกายายซึ่งทำให้เขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ในโลกวัตถุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทั้งมวลของมนุษย์ก็แตกละเอียดสลายลงเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนกลายเป็นฝุ่นละออง

ขอให้เราสมมติว่ามนุษย์บริโภคอาหาร 2-3 กิโลกรัม ต่อวัน แต่เราสังเกตเห็นว่าน้ำหนักร่างกายมนุษย์ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามน้ำหนักอาหารที่บริโภคเข้าไป ถ้าการเจริญเติบโตของเรือนร่างทางกายภาพของมนุษย์ อาศัยอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นวัตถุ ดังนั้น ณ วัย 35 ปี มนุษย์ควรมีน้ำหนักเป็นตันๆ ขณะที่ความคริงมิได้เป็นเช่นนั้น ในความเป็นจริงสิ่งนี้ยืนยันว่า มนุษย์บริโภคแสงใช่แล้ว แสงซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ในเรื่องอาหาร ความจริงมนุษย์บริโภคแสงที่สร้างข้าวสาลีหรือข้าวโพดขึ้นมา เช่นเดียวกับเรือนร่างทางกายภาพของมนุษย์ มีชิตที่ขึ้นอยู่กับแสง สิ่งของอย่างข้าวสาลีหรือในทำนองเดียวกัน ก็ดำรงอยู่เนื่องเพราะแสงที่ทำหน้าที่อยู่ในสิ่งเหล่านั้น

บุคคลหนึ่งที่มีประสบการณ์โดยตรงกับการเข้าใกล้ความคิด อาจกล่าวว่าแสงบริโภคแสงเข้าไป แสงถูกป้อนให้มนุษย์ที่แท้จริงซึ่งทำด้วยแสงที่ดำรงอยู่เหนือเรือนร่างทางกายภาพนี้ของมนุษย์ มนุษย์ได้รับพลังงานจากแสง เช่น เดียวกับหลังความตายมนุษย์เน่าเปื่อยไปเป็นฝุ่นธุลี เช่นกันเมล็ดข้าวสาชีก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นฝุ่นผงหลังจากถูกทำให้เน่าเปื่อย แต่เครือข่ายของแสงที่เมล็ดข้าวสาลีถูกสร้างขึ้นยังคงดำรงอยู่ ด้วยเหตุผลนี้ทีเดียว แม้การบริโภคอาหารนับเป็นตันๆ น้ำหนักของบุคคลหนึ่งจึงไม่เพิ่มเป็นตันๆ ด้วย ชีวิตมนุษย์คนใดก็ตาม สัตว์ ต้นไม้ นก หรือบ้านต้องอาศัยปริมาณเฉพาะของแสงในสิ่งเหล่านี้

บทเรียนแรกในการสำรวจแสง และเพื่อหาปริมาณของแสงเหล่านี้ คือ เพ่งความสนใจอย่างมีสมาธิ หรือ สมาธิธรรมดาๆ ซึ่งหมายความว่าหลังจากนำจิตใจของผู้หนึ่งออกจากทุกสิ่ง จิตใจนั้นจะเพ่งบนจุดๆ เดียวเท่านั้น มากจนกระทั่งไปถึงสภาพทางอารมณ์ที่ใจเลื่อนลอยหรือปราศจากความคิดพฤติการณ์ของการกลายสภาพเป็นปราศจากความคิดไม่ต้องการการอธิบายที่สลับซับซ้อน พวกเราทุกคนมีประสบการณ์สภาพจิตใจนี้ เมื่อจิตใจดูเหมือนจะว่างเปล่าจากทุกสิ่ง จิตใจเปลี่ยนไปสู่อิสระจากความเข้าใจและความคิดทุกประเภท แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีในวันหนึ่งก็ตาม แต่ก็เกิดขึ้นแบบเดียวกัน บางครั้งมีการคิดนึงถึงว่าจิตใจของเราหยุดทำงาน แต่นี่เป็นเพียงเพราะเราไม่คุ้นเคยกับสภาวะใจเลื่อนลอยเนื่องจากเพ่งความสนใจอย่างมีสมาธิ และเราไม่ลงเลใจที่จะเยียวยาในฐานะเป็นความเจ็บป่วย

ทุกขณะทุกวินาทีของกลางวันหรือกลางคืน ชีวิตมนุษย์ไหลเวียไปใน 2 ทิศทาง ถ้าไม่ได้ไหลเวียนไปใน 2 ทิศทางนี้ การดำรงอยู่ของชีวิตจะเป็นไปไม่ได้ ชีวิตจะไม่สารารถรักษาตัวเองได้ ถ้าไม่ได้เคลื่อนที่ใน 2 ระนาบ หรือ 2 ด้าน ในมิติหนึ่งบุคคลหนึ่งมีความใกล้ชิดกับจิตสมาธิ และในอีกมิติหนึ่งเขาถอยห่างออกมาจากจิตสมาธิ เมื่อบางคนออกห่างจากจิตสมาธิ รูปลักษณ์ทางวัตถุของชีวิตก็กลายมามีอิทธิพลเหนือกว่า และเมื่อบางคนอยู่ในสภาพจิตสมาธิ แสงก็กลายมามีอิทธิพลเหนือตัวเขาอยู่ทั่วไป หลักเกณฑ์ทั้งสองของชีวิตนี้ไหวเวียนเคียงคู่ไปด้วยกันและไหลเวียน

ไปโดดๆ และแยกจากกันดวย เมื่อกล่าวว่าหลักเกณฑ์นี้ไหลเวียนเคียงคู่ไปด้วยกัน ก็หมายความว่า มนุษย์ที่ยังคงอยู่ในความรู้สึกทางวัตถุและได้รับความพึงพอใจจากความสัมพันธ์อย่างสนิทกับความรู้สึกสำนึกของแสงด้วย หรือในทางกลับกัน การไหลเวียนแยกกันเป็นดรรชนีของสถานการณ์เมื่อผู้หนึ่งถูกครอบงำอย่างสิ้นเชิงไม่โดยวัตถุก็โดยแสง ชีวิตซึ่งผู้หนึ่งเดินทางไปในความรู้สึกทางวัตถุคือชีวิตของการตื่นอยู่ และชีวิตซึ่งเครื่องยืดของการเกาะกุมทางวัตถุ ได้รับการผ่อนออกไปคือชีวิตแห่งการฝันและการนอนหลับ

คำสั่งสอนของบรรดาศาสดาของพระเจ้า มีเป้าหมายไปที่การเชิญชวนมนุษย์ให้ดำเนินชีวิตในความรู้สึกของแสง หลังจากปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกของการเกาะกุมทางวัตถุ ก้าวแรกของการเดินทางนี้คือ มุรอกอบะฮ์ (อุตรวิสัยสมาธิ) ซึ่งช่วยมนุษย์ให้มีความคุ้นเคยกับเส้นทางดังกล่าว ซึ่งเป็นอิสระจากความแปดเปื้อนของความรู้สึกทางวัตถุ

โดยผ่านทางมุรอกอบะฮ์ บุคคลหนึ่งสามารถใช้ชีวิตในสภาพดังกล่าวอย่างที่ตั้งใจ โดยใช้เจตนารมณ์ และพลังของตนเอง ซึ่งวัตถุไม่อาจมีอิทธิพลต่อเขาได้อีกต่อไป ดังตัวอย่างคือ เมื่อมนุษย์ยอมนอน ระยะแรกคือมีแรงกดดันอ่อนๆ บนดวงตา ความหนักของตาเปลี่ยนเป็นระยะเคลิบเคลิ้ม เป็นเหตุให้ความรู้สึกถดถอยลง ณ ระยะนี้ นัยน์ตาจะแข็งและไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบการปราศจากปฏิกิริยาโต้ตอบของนัยน์ตา คือ ดรรชนีชี้การเปลี่ยนสภาพของมนุษย์จากความรู้สึกเกี่ยวกับกลางวันไปสู่ความรู้สึกเกี่ยวกับกลางคืน 

Topics


Parapsychology (Thai)

ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี

และถูกนำเสนอในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล

คนส่วนใหญ่รู้จักควาญะฮ์ชัมซุดดีน อะซีมี เพราะรูปแบบการเขียนที่เป็นเลิศ ท่านเป็นเจ้าของหนังสือมากกว่า 13 เล่ม รวมทั้งแผ่นพับ และเอกสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งพูดถึงขอบข่ายความรู้สึกทางด้านอภิปรัชญา นอกจากกลวิธีการเขียนที่ดีเลิศแล้ว สำนวนภาษาที่ใช้ยังง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไปด้วย ผลงานของท่านในการสร้างความเป็นวิทยาศาสตร์ และความเป็นสถาบันให้กับองค์ความรู้เก่าแก่ ที่ท่านรับมาจากครูของท่าน ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้นอกจากความโดดเด่นน่าสนใจ

ควาญะฮ์ ชัมซุดดีน อะซีมี ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากครูของท่านคือท่าน กอลันดาร บาบา เอาลิยาอ์