Topics
พระเจ้าผู้ทรงกรุณาปรานี
ได้สร้างจักรวาลขึ้นมา
เพื่อว่าสิ่งถูกสร้างซึ่งได้รับมอบความไว้วางใจในภารกิจและหน้าที่
ด้วยการปฏิบัติตามเจตนารมณ์และหน้าที่ พวกเขาจะก้าวหน้าไปบนแนวทางนั้น ซึ่งจะค่อยๆ
นำพาพวกเขาไปสู่พระเจ้า พระเจ้าทรงปรารถนาจากสิ่งถูกสร้างของพระองค์ว่า
สิ่งถูกสร้างควรต้องรับรู้ความเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ หลังจากเห็น
ตระหนักและสนทนากับพระองค์แล้ว
ในจิตใจของสิ่งถูกสร้างจะต้องตั้งมั่นอย่างมั่นคงว่า พระองค
ผู้ทรงสร้างเราจะปกป้องเราด้วยเช่นกัน
พระองค์คือผู้อารักขาและจัดเตรียมทรัพยากรธรรมชาติทั้งมวล ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อวิถีชีวิตและทำให้การดำรงชีวิตของเรามีความราบรื่นไว้ให้
เป้าหมายการจัดการที่ประณีต และระบบที่มั่นคง
ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อปกป้องรักษามนุษย์นี้
เพียงเพื่อทำให้สิ่งนี้ชัดเจนต่อมนุษย์ว่า
พระองค์สร้างพวกเขาขึ้นมาด้วยความรักความทนุถนอมของพระองค์ และสิ่งถูกสร้างมีความรับผิดชอบในมารยาทที่เหมาะสมต่อความรัก
อันเป็นเหตุทำให้พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา
และพวกเขาควรจะต้องแสวงหาความสัมพันธ์กับพระผู้อภิบาล ผู้ทรงรังสรรค์
ด้วยความรักดังกล่าว พลังความสัมพันธ์ที่ผูกมัดระหว่างสรรพสิ่งกับผู้สร้าง
ควรจะต้องมีแต่ความรักเท่านั้น
พระเจ้าทรงแสดงความรักต่อสิ่งถูกสร้างด้วยการสร้างพวกเขา เตรียมปัจจัยยังชีพ
การปกป้องคุ้มครองกำหนดสมรรถภาพซึ่งสะท้อนคุณลักษณะของพระองค์เองไว้ให้ และบัดนี้
พระองค์ ปรารถนา ที่จะให้สิ่งถูกสร้างแสดงความรักต่อพระองค์เช่นกัน
ด้วยการยอมรับการสร้างสรรค์ของพระองค์
เข้าใกล้ชิดด้วยความรักและมีชีวิตตามที่พระผู้อภิบาลซึ่งเป็นที่รักทรงปรารถนา
ความรักของพระเจ้าต่อสิ่งถูกสร้างในมาตราส่วนเล็กๆ
สามารถเห็นได้จากความรักของแม่ที่มีต่อลูก แม่คือเครื่องมือของการสร้างสรรค์
พัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูกเริ่มต้นในครรภ์ของแม่
แม้ว่าแม่จะไปมีส่วนร่วมในการเจริญเติบโตของลูกนางเอง
แต่ความรักของนรงก็ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้
สำหรับลูกซึ่งเป็นกระบวนการผลิตตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในครรภ์แม่
ได้รับความรักจากแม่ของเขา
และไม่มีผู้ใดอื่นเลยที่สามารถรู้สึกถึงความรักต่อลูกอันมากมายดังกล่าวได้
ถ้าลูกที่มีสามัญสำนึกและมีจิตใจปกติปฏิเสธการดำรงอยู่ของแม่แล้ว
ก็สามารถจินตนาการได้โดยง่ายว่า ความรู้สึกของแม่จะเป็นอย่างไร
แม่เท่านั้นที่บอกได้ถึงความเลวร้ายที่นางรู้สึก
ตัวอย่างที่มีชีวิตอื่นๆเกี่ยวกับความรักและการสร้างสรรค์ก็คือพ่อ พ่อมีความมานะบากบั่นในการเลี้ยงดูลูก
มอบการศึกษาและการอบรม ซึ่งสามารถทำให้ลูกพึ่งตนเองได้และมีสถานภาพทางสังคม
อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ หากลูกไม่ยอมรับพ่อของตน ปฏิเสธที่จะรู้จักเขา
ถือว่าการสมาคมกับพ่อไม่มีประโยชน์และเสียเวลา ความรู้สึกของพ่อจะเป็นอย่างไร ไม่มีใคร
เข้าใจสิ่งนี้ได้นอกจากผู้เป็นพ่อเองเท่านั้น
หรืออย่างน้อยก็ผู้มีความสามารถที่จะตระหนักถึงความรักของพ่อได้
ในความเป็นจริง
พระผู้สร้างที่แท้จริงคือพระเจ้า
พ่อแม่เป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำเอาการสร้างสรรค์ของพระเจ้าออกมา
พ่อแม่รู้ความเป็นจริงนี้ดีว่า การที่พวกเขาจะมีลูกหรือไม่ ? ลูกยังคงปฏิสนธิอยู่หรือมีชีวิต
ปราศจากข้อบกพร่องทั้งมวลหรือไม่ ? ปัญญาทับ หรือ ฉลาด
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งยิ่ง
แม้ผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าก็ยอมรับว่า
มีบางสิ่งที่ทรงพลังอำนาจควบคุมจัดการและดำเนินระบบจักรวาลที่ไม่น่าเชื่อนี้อยู่
นี่คือ สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแทนที่จะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า
พวกเขากลับเรียกว่าธรรมชาติ
ถึงอย่างไรก็ตาม
การรับรู้ของพ่อแม่ว่า ตนเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างลูกแทน
และถ้าไม่ใช่เจตนารมณ์ของธรรมชาติ ตนก็ไม่ มีวันเป็นพ่อแม่อย่างเด็ดขาด
พวกเขาเพียงอ้างเหตุผลที่มุ่งหวังจะได้รับการยอมรับและการยกย่องที่เหมาะสมจากลูกๆ
ในความเป็นจริงความต้องการนี้
เป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณลักษณะส่วนพระองค์ของพระผู้สร้าง
นั่นคือพระผู้อภิบาลทรงต้องการให้สิ่งถูกสร้างในจักรวาลต้องยอมรับและตระหนักในพระองค์
ด้วยความรักเดียวกับที่พระองค์ทรงสร้างจักรวาลขึ้นมา เช่นเดียวกับลูก
หลังจากไม่เชื่อฟังพ่อแม่ และทำลายคุณค่าทางสังคม ก็จะถูกประกาศว่า
เป็นผู้ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เชื่อฟังและสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล
เช่นกันถ้าบางคนปฏิเสธที่จะรับรู้พระเจ้าผู้ทรงเมตตายิ่ง เขาก็เป็นผู้ฝ่าฝืน
อยุติธรรมและไม่เชื่อฟังเช่นกัน และหลังจากเมื่อผู้นั้นได้เลือกแล้ว
เขาเลือกที่จะเป็นผู้ที่เขลาและฝ่าฝืนชีวิตก็จะอับโชค
ความสงบสันติจะอันตรธานไปจากชีวิต ความวิตกกังวลจะแสดงบทบาทสำคัญในชีวิตของเขา
แต่แม้เมื่อคนบางคนได้สวมกอดกับชีวิตแห่งความวิตกกังวลและทุกข์ยาก
กฏเกณฑ์ของพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรก็ยังจัดเตรียมมาตรการป้องกันที่มั่นคงมากพอว่า
เขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ และการป้อนปัจจัยยังชีพจะไม่ถูกปฏิเสธให้ดำเนินต่อไป
เพียงแต่ความสันติสุขของชีวิตจะไม่มีอยู่อีกต่อไปสำหรับเขา
คนเช่นนั้นจึงถูกกีดกันจากความกรุณาพิเศาแห่งความรักความเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงเมตตา
เนื่องจากการออกห่างจากพระองค์
แบบแผนในการนำมาซึ่งความโปรดปราน
ความกรุณาพิเศษและความรักของพระเจ้า
รวมทั้งกฎระเบียบที่จะมีมิตรภาพสัมพันธ์กับพระเจ้า
ได้ถูกเปิดเผยโดยศาสตร์ทางจิตวิญญาร เป้าหมายพื้นฐานของศาสตร์เหล่านี้
(ปราจิตวิทยา) ก็เพื่อให้มนุษย์มีความคุ้นเคยกับกฎระเบียบต่างๆ
ซึ่งตามกฏนี้เคยทำให้สิ่งถูกสร้างสามารถรับความเป็นพระผู้อภิบาลของพระผู้สร้าง ณ
วันแห่งการเริ่มต้นว่า
“ใช่
โดยแท้จริง เรารับรู้และยืนยันว่า พระองค์คือพระผู้อภิบาลของเรา”
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราวันแล้ววันเล่า
เป็นสายสัมพันธ์ต่อนเนื่องของเหตุการณ์ การถือกำเนิดของผู้คน
ความน่ารักน่าชังในวันทารก ความสนุกสนานในวัยหนุ่ม
หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูของวัยหนุ่มย่างเข้าสู่วัยชรา
และหลังจากใช้ชีวิตในยามแก่เฒ่า มนุษย์ก็จากไปสู่อาณาบริเวณอื่น
ทั้งหมดนี้เป็นสายสัมพันธ์ของเหตุการณ์ซึ่งการถือกำเนิด วัยทารก วันเด็ก วัยรุ่น
วัยหนุ่ม วัยแก่ และความตาย เป็นเสมือนห่วงโซ่ที่คล้องกัน
ห่วงโซ่นั้นประกอบขึ้นเหมือนกับกากรเชื่อมต่อของรูปแบบและรูปทรงใหม่ๆ
ของทุกชั่วขณะทุกเวลา นาที
ผู้นำหรือ
ครูทางจิตวิญญาณของผู้เขียน ผู้เป็นความเมตตาของพระเจ้าท่านกอลนดาร บาบา เอาลยาอ์
กล่าวไว้ในหนังสือที่ดีเยี่ยมของท่านว่า
“ทุกชั่วขณะและทุกวินาที
คือความไม่มีสิ้นสุด (การเริ่มต้น)”
นั้นคือคำสั่งของพระเจ้า
“จงเป็น” (กุน) ซึ่งพระเจ้าทรงกล่าวได้ถูกบันทึกไว้ และบันทึกนี้ถูกเปิดไปเรื่อยๆ
เสียงบันทึกนี้จะต้องก้องอยู่ในจักรวาลวันแล้ววันเล่า การปรากฏของมนุษย์บนโลกนี้
ซึ่งเป็นผลมาจากที่เขาเกิดมาในรูปของทารก
เป็นการแสดงซ้ำอีกครั้งหนึ่งของเหตุการณ์เมื่อครั้งอาดัมถูกให้ออกจากสวนสรรค์
ทารกทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้คืออาดัม ซี่งเคยพำนักอยู่ใน
สวนสวรรค์ และหากมิได้กระทำการฝ่าฝืน
เขาจะไม่ถูกส่งมายังโลกนี้ การอธิบายโองการศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า
“และพระองค์ทรงสร้างเจ้าจากชีวิตหนึ่ง”
นักวิชาการของเรายืนยันว่า
วลี “ชีวิตหนึ่ง” หมายถึงอาดัม อาดัมจะถูกสร้างซ้ำโดยอาดัม และนี่คือสาเหตุในการเพิ่มขึ้นของอาดัมรุ่นต่างๆ
แต่คำถามคืออาดัมกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า และผลของการไม่เชื่อฟังนี้คือ
อาดัมถูกสวนสวรรค์ปฏิเสธ และทำให้ต้องออกจากสถานที่ดงกล่าว
เพราะสวนสวรรค์เป็นถสานที่ซึ่งมีบรรยากาศที่ผู้ดำรงอยู่ และพำนักในนั้น
ต้องเป็นผู้ที่ปราสจากการฝ่าฝืนเท่านั้น และถ้าเราพิจารณาว่า
นับเป็นรร้อยศตวรรษที่ผ่านมา อาดัมกระทำการฝ่าฝืนในสวนสวรรค์
ซึ่งผลจากการกระทำดังกล่าว อาดัมต้องออกจากสวนสวรรค์ ดังนั้น
สิ่งนี้จึงดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกมากและค่อนข้างจะไม่เป็นเหตุเป็นผล
ที่ผู้สืบตระกูลของอาดัม ถูกลงโทษแม้หลังจากเป็นร้อยศตวรรษผ่านมาแล้ว
มันทำให้ยุ่งยากใจทีเดียวที่เด็กเกิดในวันนี้ถูกลงโทษจากความผิดกระทำโดยบรรพบุรุษของเราเมื่อนับร้อยศตวรรษที่แล้ว
สิ่งนี้ดูจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่คนบางคทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บรหว่างการเดินทางขอตนแล้วหลบหนีไป
มีคนอื่นๆ บางส่วนซึ่งเดินทางไปเส้นทางเดียวกัน
และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเสียหาย
กลับถูกจับและได้รับการลงโทษจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
มนุษย์ทุกวันนี้ได้รับความวิตกกังวล และเศร้าโศก
เพราะจงใจละเลยความจริงและข้อเท็จจริงที่เป็นสาเหตุของการยกย่องอาดัม
ก่อนที่เขาจะกระทำการฝ่าฝืน กระบวนการสร้างสรรค์
จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ในการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับอาดัมบิดาของเราเคยพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ และหลังจากกระทำการฝ่าฝืน
เขาจึงถูกบังคับให้ออกจากสวนสวรรค์ เช่นเดียวกัน
ลูกชายของอาดัมทุกคนและลูกสาวของอีฟทุกคน พำนักอยู่ในสวนสวรรค์ ก่อนที่จะมายังโลก
พวกเขากระทำการฝ่าฝืนในสวนสวรรค์เหมือนๆ กับบิดามารดาของพวกเขา
และภายหลังสวนสวรรค์จึงปฏิเสธพวกเขา จนมาปรากฏตัวอยู่บนโลก
เราบริโภคแสง
เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษยื
จะมีความรู้สึกว่า ทั้งสองนี้มีระยะห่างซึ่งกันและกัน ความรู้สึกห่างไกลนี้
มีสาเหตุมาจาความเป็นจร้ง
ที่ชีวิตทางด้านวัตถุขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่ถูกจำกัดขอบเขต
และเมื่อผู้หนึ่งพยายามคิดด้วยความรู้สึกที่จำกัด ความคิดของเขาก็กลายเป็นถูกจำกัดขอบเขต
การวิเคราะห์แนวทางที่ถูกจำกัดขอบเขตของความคิดเปิดเผยว่า
แกนชีวิตมนุษย์คือวัตถุนิยม
ทุกการเคลื่อนไหวของจิตใจและทุกกิจกรรมที่สัมพันธ์กับสมรรถภาพทางความคิดของมนุษย์ถูกห่อหุ้มด้วยวัตถุ
การบริโภคอาหาร การตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อป้องกันจากอากาศร้อนหนาว
การใช้ชีวิตทางสังคมซึ่งประกอบด้วยหน่วยครอบครัวมากมาย ฯลฯ
ล้วนคือตัวอย่างของชีวิตมนุษย์ในโลกวัตถุ
นอกจากปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดของชีวิตมนุษย์แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนทีเดียว
นั่นคือไม่ว่าตัวมนุษย์เองจะหมกมุ่นอยู่ในชีวิตทางวัตถุหรือวัตถุจะมีอิทธิพลเหนือชีวิตเขาลึกซึ้งขนาดไหน
ผู้นั้นก็จะต้องละจากชีวิตทางวัตถุนี้ไปในที่สุด
เมื่อความตายมาถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับวัตถุและโลกวัตถุก็มาถึงจุดสิ้นสุด
เรือนร่างทางกายายซึ่งทำให้เขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ในโลกวัตถุ
ซึ่งเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทั้งมวลของมนุษย์ก็แตกละเอียดสลายลงเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ก่อนกลายเป็นฝุ่นละออง
ขอให้เราสมมติว่ามนุษย์บริโภคอาหาร
2-3 กิโลกรัม ต่อวัน แต่เราสังเกตเห็นว่าน้ำหนักร่างกายมนุษย์
ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามน้ำหนักอาหารที่บริโภคเข้าไป
ถ้าการเจริญเติบโตของเรือนร่างทางกายภาพของมนุษย์ อาศัยอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นวัตถุ
ดังนั้น ณ วัย 35 ปี มนุษย์ควรมีน้ำหนักเป็นตันๆ ขณะที่ความคริงมิได้เป็นเช่นนั้น
ในความเป็นจริงสิ่งนี้ยืนยันว่า มนุษย์บริโภคแสงใช่แล้ว
แสงซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ในเรื่องอาหาร
ความจริงมนุษย์บริโภคแสงที่สร้างข้าวสาลีหรือข้าวโพดขึ้นมา
เช่นเดียวกับเรือนร่างทางกายภาพของมนุษย์ มีชิตที่ขึ้นอยู่กับแสง
สิ่งของอย่างข้าวสาลีหรือในทำนองเดียวกัน
ก็ดำรงอยู่เนื่องเพราะแสงที่ทำหน้าที่อยู่ในสิ่งเหล่านั้น
บุคคลหนึ่งที่มีประสบการณ์โดยตรงกับการเข้าใกล้ความคิด
อาจกล่าวว่าแสงบริโภคแสงเข้าไป แสงถูกป้อนให้มนุษย์ที่แท้จริงซึ่งทำด้วยแสงที่ดำรงอยู่เหนือเรือนร่างทางกายภาพนี้ของมนุษย์
มนุษย์ได้รับพลังงานจากแสง เช่น
เดียวกับหลังความตายมนุษย์เน่าเปื่อยไปเป็นฝุ่นธุลี
เช่นกันเมล็ดข้าวสาชีก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นฝุ่นผงหลังจากถูกทำให้เน่าเปื่อย
แต่เครือข่ายของแสงที่เมล็ดข้าวสาลีถูกสร้างขึ้นยังคงดำรงอยู่
ด้วยเหตุผลนี้ทีเดียว แม้การบริโภคอาหารนับเป็นตันๆ
น้ำหนักของบุคคลหนึ่งจึงไม่เพิ่มเป็นตันๆ ด้วย ชีวิตมนุษย์คนใดก็ตาม สัตว์ ต้นไม้
นก หรือบ้านต้องอาศัยปริมาณเฉพาะของแสงในสิ่งเหล่านี้
บทเรียนแรกในการสำรวจแสง
และเพื่อหาปริมาณของแสงเหล่านี้ คือ เพ่งความสนใจอย่างมีสมาธิ หรือ สมาธิธรรมดาๆ
ซึ่งหมายความว่าหลังจากนำจิตใจของผู้หนึ่งออกจากทุกสิ่ง จิตใจนั้นจะเพ่งบนจุดๆ
เดียวเท่านั้น
มากจนกระทั่งไปถึงสภาพทางอารมณ์ที่ใจเลื่อนลอยหรือปราศจากความคิดพฤติการณ์ของการกลายสภาพเป็นปราศจากความคิดไม่ต้องการการอธิบายที่สลับซับซ้อน
พวกเราทุกคนมีประสบการณ์สภาพจิตใจนี้ เมื่อจิตใจดูเหมือนจะว่างเปล่าจากทุกสิ่ง
จิตใจเปลี่ยนไปสู่อิสระจากความเข้าใจและความคิดทุกประเภท
แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีในวันหนึ่งก็ตาม แต่ก็เกิดขึ้นแบบเดียวกัน
บางครั้งมีการคิดนึงถึงว่าจิตใจของเราหยุดทำงาน
แต่นี่เป็นเพียงเพราะเราไม่คุ้นเคยกับสภาวะใจเลื่อนลอยเนื่องจากเพ่งความสนใจอย่างมีสมาธิ
และเราไม่ลงเลใจที่จะเยียวยาในฐานะเป็นความเจ็บป่วย
ทุกขณะทุกวินาทีของกลางวันหรือกลางคืน
ชีวิตมนุษย์ไหลเวียไปใน 2 ทิศทาง ถ้าไม่ได้ไหลเวียนไปใน 2 ทิศทางนี้
การดำรงอยู่ของชีวิตจะเป็นไปไม่ได้ ชีวิตจะไม่สารารถรักษาตัวเองได้
ถ้าไม่ได้เคลื่อนที่ใน 2 ระนาบ หรือ 2 ด้าน
ในมิติหนึ่งบุคคลหนึ่งมีความใกล้ชิดกับจิตสมาธิ
และในอีกมิติหนึ่งเขาถอยห่างออกมาจากจิตสมาธิ เมื่อบางคนออกห่างจากจิตสมาธิ
รูปลักษณ์ทางวัตถุของชีวิตก็กลายมามีอิทธิพลเหนือกว่า
และเมื่อบางคนอยู่ในสภาพจิตสมาธิ แสงก็กลายมามีอิทธิพลเหนือตัวเขาอยู่ทั่วไป
หลักเกณฑ์ทั้งสองของชีวิตนี้ไหวเวียนเคียงคู่ไปด้วยกันและไหลเวียน
ไปโดดๆ และแยกจากกันดวย
เมื่อกล่าวว่าหลักเกณฑ์นี้ไหลเวียนเคียงคู่ไปด้วยกัน ก็หมายความว่า
มนุษย์ที่ยังคงอยู่ในความรู้สึกทางวัตถุและได้รับความพึงพอใจจากความสัมพันธ์อย่างสนิทกับความรู้สึกสำนึกของแสงด้วย
หรือในทางกลับกัน
การไหลเวียนแยกกันเป็นดรรชนีของสถานการณ์เมื่อผู้หนึ่งถูกครอบงำอย่างสิ้นเชิงไม่โดยวัตถุก็โดยแสง
ชีวิตซึ่งผู้หนึ่งเดินทางไปในความรู้สึกทางวัตถุคือชีวิตของการตื่นอยู่
และชีวิตซึ่งเครื่องยืดของการเกาะกุมทางวัตถุ
ได้รับการผ่อนออกไปคือชีวิตแห่งการฝันและการนอนหลับ
คำสั่งสอนของบรรดาศาสดาของพระเจ้า
มีเป้าหมายไปที่การเชิญชวนมนุษย์ให้ดำเนินชีวิตในความรู้สึกของแสง
หลังจากปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกของการเกาะกุมทางวัตถุ
ก้าวแรกของการเดินทางนี้คือ มุรอกอบะฮ์ (อุตรวิสัยสมาธิ)
ซึ่งช่วยมนุษย์ให้มีความคุ้นเคยกับเส้นทางดังกล่าว
ซึ่งเป็นอิสระจากความแปดเปื้อนของความรู้สึกทางวัตถุ
โดยผ่านทางมุรอกอบะฮ์
บุคคลหนึ่งสามารถใช้ชีวิตในสภาพดังกล่าวอย่างที่ตั้งใจ โดยใช้เจตนารมณ์
และพลังของตนเอง ซึ่งวัตถุไม่อาจมีอิทธิพลต่อเขาได้อีกต่อไป ดังตัวอย่างคือ
เมื่อมนุษย์ยอมนอน ระยะแรกคือมีแรงกดดันอ่อนๆ บนดวงตา
ความหนักของตาเปลี่ยนเป็นระยะเคลิบเคลิ้ม เป็นเหตุให้ความรู้สึกถดถอยลง ณ ระยะนี้
นัยน์ตาจะแข็งและไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบการปราศจากปฏิกิริยาโต้ตอบของนัยน์ตา คือ
ดรรชนีชี้การเปลี่ยนสภาพของมนุษย์จากความรู้สึกเกี่ยวกับกลางวันไปสู่ความรู้สึกเกี่ยวกับกลางคืน
ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี
และถูกนำเสนอในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล
คนส่วนใหญ่รู้จักควาญะฮ์ชัมซุดดีน
อะซีมี เพราะรูปแบบการเขียนที่เป็นเลิศ ท่านเป็นเจ้าของหนังสือมากกว่า 13 เล่ม
รวมทั้งแผ่นพับ และเอกสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งพูดถึงขอบข่ายความรู้สึกทางด้านอภิปรัชญา
นอกจากกลวิธีการเขียนที่ดีเลิศแล้ว
สำนวนภาษาที่ใช้ยังง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไปด้วย
ผลงานของท่านในการสร้างความเป็นวิทยาศาสตร์
และความเป็นสถาบันให้กับองค์ความรู้เก่าแก่ ที่ท่านรับมาจากครูของท่าน
ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้นอกจากความโดดเด่นน่าสนใจ
ควาญะฮ์ ชัมซุดดีน
อะซีมี ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากครูของท่านคือท่าน กอลันดาร บาบา เอาลิยาอ์