Topics

ความสัมพันธ์

โดยปกติสิ่งถูกสร้างทุกชนิดมีความละม้ายคล้ายคลึงกับสิ่งถูกสร้างอื่นทั้งหมด และเกี่ยวกันซึ่งกันและกันด้วยเหตุผลหนึ่งหรือหลายเหตุผล ที่เปิดช่องให้กับความสัมพันธ์ระหว่างกัน

ทันทีที่วิญญาณซึ่งสถิตอยู่ตัวในอาดัมทำงานในมนุษย์ทุกคน และการกระตุ้นวิญญาณซึ่งรับผิดชอบในการสร้างความรู้สึก ช่วยให้เขามีชีวิตผ่านอารมณ์อ่อนไหวและมีประสบการณ์ความรู้สึกทุกชนิด รวมทั้งความรู้สึกสุขสดชื่น เศร้าโศกและเสียใจด้วย กรณีคล้ายกันมดมีอารมณ์หลากหลายและแสดงความรู้สึกออกมาในหลายวิธีการเหมือนกับมนุษย์ มดพยายามต่อสู้เพื่อทรัพย์สินในการดำงชีวิตเหมือนกัน แมลงวันและยุงก็เช่นกันที่ต้องต่อสู้ในเรื่องนี้ ถ้ามโนคติการฝึกฝนทายาทของมนุษย์ตามที่รับรู้กันถูกนำมาสู่การพิจารณาแล้ว การสังเกตของเราจะยืนยันว่า สิ่งถูกสร้างที่มีชีวิตทุกชนิดมีภารกิจในความมานะพยายามปลูกฝังและเลี้ยงดูทายาทของตน สิงโตฝึกฝนและปลูกฝังลูกๆ ในการพัฒนาคุณลักษณะทางสัญชาตญาณและการสืบสันดาน แมวก็เช่นกันที่สอนลูกเล็กๆ ถึงกลอุบายการล่าเหยื่อที่ใช้ในการดำรงชีวิต ถ้ามนุษย์กล่าวอ้างถึงความเหนือกว่าว่ามีสิติปัญญา ดังน้น จะต้องสังเกตด้วยว่า สิ่งถูกสร้างอื่นๆ ก็ครอบครอบความรู้และสติปัญญาเช่นกัน นี่ยังพร้อมดัวยประเด็นที่ว่า ระดับสติปัญญาในเผ่าพันธุ์หนึ่งมีมากหรือน้อยกว่าอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งด้วย

เป็นการประกาศที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งว่า

เราได้ดลใจให้ผึ้ง

ที่นี้การถูกดลใจหรือได้รับโองการ ผู้ที่ถูกดลใจหรือผู้ได้รับจะต้องมีสติยอมเชื่อฟัง มีความสมารถในพิจารณาใคร่ครวญ และหลังจากเข้าใจความหมายของสาส์นที่ได้รับการดลใจ ก็ต้องสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามการดลใจที่ได้รับด้วย เมื่อมีการศึกษาเกี่ยวกับการประกาศเรื่องการดลใจแก่ผึ้ง สิ่งที่ชัดเจนคือ ประกาณที่หนึ่งผึ้งมีสติปัญญา มีความสามารถที่จะเข้าใจ

ความหมายของการดลใจ ถ้ามนุษย์ประกาศความเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นบนพื้นฐานของสติปัญญามากว่าผึ้งแล้ว ก็ควรจะประกาศความเหนือกว่าในเรื่องอื่นด้วย เพราะผึ้งก็ครอบครองสติปัญญาในการเข้าใจด้วย จุดสำคัญของการพิจารณาในเรื่องนี้มีเพียงว่า ความรู้ วิทยญาณ ความฉลาดหลักแหลม สติปัญญาและเหตุผล ไม่ได้เป็นพื้นฐานความเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ของมนุษย์

ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาล ล้วนมีการเคลื่อนไหว มีชีวิตและเพราะฉะนั้นจึงครอบครองจิตสำนึก มีความรู้สึกที่จะได้รับความต้องการของชีวิต มีความสามารถในการตัดสินใจว่า อะไรดีอะไรเลว สำหรับตัวเอง ถ้ามนุษย์มีประสบการณ์ความหนาว แมวก็ตอบสนองต่อความหนาวเย็น ถ้ามนุษย์รู้วิธีป้องกันตนเองจากอากาศหนาวด้วยการสร้างบ้านหรือสาวมใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ แมวก็รู้ในวิธีการซึ่งแตกต่งกัน เพื่อป้องกันตนเองจากอากาศหนาว ดังนั้น มนุษย์มีความเหนือกว่าอย่างไร และอะไรคือความเป็นตัวแทนที่ได้รับมอบหมายมา เนื่องมาแต่ความเหนือกว่าสิ่งถูกสร้างอื่นๆ เมื่อพิจารณาในคัมภีร์ สิทธิจะนำเราไปสู่บทสรุปที่ว่า ความเหนือกว่าที่แท้จริงของมนุษย์คือเพราะความรู้ที่พระเจ้าผู้ทรงวิทยญาณอนุมัติให้ ซึ่งเรียกกันว่า ความรู้ในนามชื่อเมื่อเราเปรียบเทียบเทวทูตกับมนุษย์ จะสังเกตุเห็นว่า มนุษย์รู้ความลับของนามชื่อของพระเจ้า ที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับแม้แต่กับเทวทูตที่สูงส่งยิ่ง ณ ที่นี้ควรจะเข้าใจอย่างชัดเจนและสำนึกไว้ในจิตใจว่า พระเจ้ามิได้ให้ศักยภาพที่จะกำหนดชื่อให้สิ่งต่างๆ ในจักรวาลโดยการสอนความรู้นามชื่อดังกล่าว และไม่ใช่เช่นกันที่มนุษย์จะสามารถเรียกต้นไม้ว่าต้นไม้ นกพิราบว่า นกพิราบ และสิงโตว่าสิงโต สิ่งนี้เท่ากับเป็นการดูถูกความรู้ที่มอบให้มนุษย์ ความเป็นจริงไม่เคยเปลี่ยแปลง แต่ยังคงเหมือนเดิมอยู่เสมอ ความเป็นจริงไม่ผันแปรถ้าชื่อที่ถูกเรียกเป็นชื่อของสิ่งที่มีอยู่ในโลก ดังนั้น ทุกปัจเจกของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีเพียงชื่อเดียวสำหรับแต่ละสิ่ง และชื่อเดียวนั้นก็จะใช้ระบุสิ่งเฉพาะนั้น โดยทุกคนในทุกภาษาในขอบข่ายของสมมติฐานที่กำหนดนี้ เราไม่สามารถมีคำว่า ดาราคหรือ ชาจาร” (ชื่อต้นไม้ในภาษาอุรดู) สำหรับต้นไม้ได้ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ในความเป็นจริง ชื่อนั้นระบุไปยังคุณลักษณะของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในรูปแบบของความมีคุณลักษณะแห่ง

ความเป็นพระผู้อภิบาล ซึ่งรับผิดชอบต่อการสรรค์สร้าง ความรู้เกี่ยวกับนามชื่อคือความรู้ดังกล่าว ซึ่งแสดงสูตรการสร้างสรรค์ในจักรวาล นามชื่อของพระเจ้าคือความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งโดยการสอนความรู้นามชื่อดังกล่าว ซึ่งสามารถทำให้เราสำรวจปริมณฑล ซึ่งสัมพันธ์เกี่ยวกับปริมณฑลที่มองไม่เห็น อันเป็นอาณาบริเวณที่ความลับของธรรมชาติดำรงอยู่

พระเจ้า ผู้ทรงเมตตายิ่งทรงประกาศว่า

เราได้เสนอความไว้วางใจแก่ฟากฟ้า ภูเขาและพื้นดิน ทั้งหมดยอมรับว่า เราไม่สามารถยอมรับได้เพราะเรารู้ว่าหากเรายอมรับความรับผิดชอบนี้ เราจะแตกสลายออกและถูกทำลายไป

นอกจากสิ่งอื่นแล้ว โองการนี้ยังทำให้สิ่งนี้ชัดเจนด้วยว่า ในฐานะกฎของวัตถุธาตุ ทุกการดำรงอยู่ของจักรวาลนี้มีจิตสำนึก ไม่ว่าจะเป็นฟากฟ้า พื้นดิน หรือ ภูเขา การปฏิเสธหรือยอมรับโดยตัวเองคือข้อพิสูจน์ว่า สิ่งที่มีความสามารถปฏิเสธหรือยอมรับบางสิ่งนั้น ได้รับการดลบันดาลด้วยความมีจิตสำนึก ถ้าภูเขา ซึ่งโดยปกติถือว่าปราศจากชีวิต เป็นสิ่งไม่มีชีวิตอันประกอบด้วยหิน ไม่มีความรู้สึก เหตุผล ความเข้าใจและการรู้จักสมรรถภาพและศักยภาพแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร ที่สิ่งเหล่านี้ปฏิเสธที่จะยอมรับความรับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ทรงมอบให้โดยกล่าวว่า

ข้าพระองค์ไม่สามารถยอมรับได้เพราะข้าพระองค์รู้ว่า หากข้าพระองค์ยอมรับความรับผิดชอบนี้ ข้าพระองค์จะต้องแตกสลายออก

เมื่อพิจารณาต่อไปจะยิ่งชัดเจนขึ้นอีกว่า กรวดและหินก็มีความสามารถที่จะรับฟังเหมือนมนุษย์มีความสามารถที่จะได้ยิน สิ่งเหล่านั้นเช่นกัน ก็มีความสามารถในการคิดเหมือนมนุษย์ สิ่งเหล่านี้สามารถแสดงการสื่อสารออกมาอย่างชำนาญเช่นเดียวกับมนุษย์ ในการเข้าสู่คัมภีร์อัลกุรอาน ควรจะเหมือนเช่นที่เราแสดงต่อตรรกะ หรือเหตุผลทางด้านปรัชญา เพื่อให้มีหนทางไปสู่ความหมายด้านในที่ซ่อนเร้นที่สุดของคัมภีร์อัลกุรอาน เราจะต้องมีศรัทธาและความเชื่อมั่นว่า อะไรก็ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน คือ คำดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้อภิบาลสูงสุด

เป็นบางสิ่งที่จะต้องให้ความระมัดระวังอย่างยิ่งว่า ถ้ากรวดสามารถพูดได้ยิน มีความรู้ในความสามารถของตัวเอง มีการรู้จักตนเองโดยปราศจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง และการตัดสินของกรวดนั้น ไม่มีโอกาสห่างไกลจากความแม่นยำได้ แล้วมนุษย์จะมีความเหนือกว่ากรวดได้อย่างไร สิ่งนี้พระเจ้าผู้ทรงวิทยญาณก็ทรงดำรัสไว้ว่า มนุษย์ยอมรับความไว้วางใจนี้ ทั้งที่ความจริงมนุษย์นั้น อวิชชา เป็นผู้กดขี่ที่อยุติธรรม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ท้องฟ้า พื้นดินและภูเขา มิได้ทั้งอวิชชาหรืออยุติธรรม ขณะที่มนุษย์ทั้งอวิชชาและอยุติธรรม เพราะด้วยกฎแห่งตรรกะทุกข้อ มนุษย์ยอมรับที่จะรับผิดชอบโดยไม่ได้คิดถึงว่า ตัวเองสามารถทำให้ความไว้วางใจซึ่งมอบให้นั้นสำเร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่ เป็นเพียงเพราะสายตาที่สั้นและความเขลา ที่มนุษย์ยอมรับผิดชอบความไว้วางใจของพระเจ้า โดยที่มนุษย์มีเกียรติของการยอมรัรบความไว้วางใจของพระเจ้าไว้ในความน่าเชื่อถือของเขา ดังนั้น มนุษย์จึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นสิ่งถูกสร้างสูงส่งในจักรวาล แต่สิ่งนี้ต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ในการได้รับอำนาจสูงสุดนี้ เขาจะต้องตระหนักถึงความไว้วางใจที่มอบให้ ถ้ามนุษย์ไม่ตระหนักถึงความไว้วางใจที่พระเจ้าผู้ทรงสูงส่งมอบให้แล้วก็ไม่สามารถประกาศว่า ตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งที่สุดได้ ความอวิชชาทำให้เขาเป็นผู้หนึ่งที่มีความต่ำต้อยที่สุดในบรรดาสิ่งถูกสร้างทั้งหมด และเฉกเช่นเดียวกัน คำพิพากษาของพระเจ้าก็คือ มนุษย์ที่ปราศจากความตระหนักอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับความไว้วางใจที่มอบให้เขา รวมทั้งความรู้ซึ่งเป็นที่ต้องการเพื่อให้บรรจบกับพันธะของความไว้วางใจดังกล่าว มนุษย์ผู้นั้นจะอยู่ในกลุ่มผู้กดขี่ที่อวิชชาและอยุติธรรม และไม่สามารถได้รับการพิจารณาว่า เป็นสิ่งถูกสร้างที่สูงส่งว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งถูกสร้างอื่นๆ มนุษย์ถูกกำหนดให้บรรจุตัวเองด้วยความรู้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดียวของผู้แทนพระผู้อภิบาล ผู้ทรงรังสรรค์ และทำให้ลักษณะที่โดดเด่นของความสูงส่งของเขาเหนือสิ่งถูกสร้างอื่นในจักรวาลชัดเจน มิฉะนั้น มนุษย์จะเป็นสิ่งถูกสร้างที่ต่ำต้อยค่าที่สุด 

Topics


Parapsychology (Thai)

ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี

และถูกนำเสนอในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล

คนส่วนใหญ่รู้จักควาญะฮ์ชัมซุดดีน อะซีมี เพราะรูปแบบการเขียนที่เป็นเลิศ ท่านเป็นเจ้าของหนังสือมากกว่า 13 เล่ม รวมทั้งแผ่นพับ และเอกสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งพูดถึงขอบข่ายความรู้สึกทางด้านอภิปรัชญา นอกจากกลวิธีการเขียนที่ดีเลิศแล้ว สำนวนภาษาที่ใช้ยังง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไปด้วย ผลงานของท่านในการสร้างความเป็นวิทยาศาสตร์ และความเป็นสถาบันให้กับองค์ความรู้เก่าแก่ ที่ท่านรับมาจากครูของท่าน ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้นอกจากความโดดเด่นน่าสนใจ

ควาญะฮ์ ชัมซุดดีน อะซีมี ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากครูของท่านคือท่าน กอลันดาร บาบา เอาลิยาอ์