Topics
คำถาม เหตุการณ์ที่รายงานโดยผู้ที่ฝึกบทเรียนของโทรจิตเกือบทั้งหมด
เกี่ยวกับเรื่องการพบวิญญาณที่สูงส่งและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังมีรายงานว่า
มีบ้าง ที่พวกเขาเผชิญหน้าสิ่งถูกสร้างที่มีสิทธิพิเศษ แต่ไม่มีรายงานว่ามีผู้ใด
พบกับมารหรือวิญญาณที่ชั่วร้าย แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งถูกสร้างที่อยู่ในโลก
ที่มองไม่เห็นเช่นกัน
ตอบ ตามปกติมีลักษณะที่แตกต่างกัน 2 ประการ
เกี่ยวกับการศึกษา ศาสตร์ใดๆ รวมทั้งเรื่องโทรจิตก็ไม่ได้รับการยกเว้น
ลักษณะที่หนึ่งถูกเรียก ว่า ลักษณะของพระเจ้า
และลักษณะที่สองคือลักษณะของความชั่วร้าย
ถ้าความรู้ถูกเล่าเรียนด้วยความตั้งใจเชิงสร้างสรรค์และเป็นด้านบวก ดังนั้น
มันก็จะเป็นพลังของพระเจ้า ถ้าความรู้ได้รับมาด้วยเจตนาที่มุ่งร้ายและเป็นเชิง ลบ
ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนว่ามันเป็นพลังของความชั่วร้าย การสร้างสรรค์และ
การประดิษฐ์เป็นเป็นพฤติการณ์ของพระเจ้า ส่วนการทำลายและความชั่วร้าย
เป็นการกระทำของมาร ความจริงมนุษย์มี 2 พวก พวกหนึ่งมีลักษณะของการ สร้างสรรค์
และอีกพวกหนึ่งมีลักษณะของการทำลาย ความคิดในลักษณะทั้ง
สองเป็นความแตกต่างและตรงข้ามซึ่งกันและกัน คำพูดที่ใช้
กระตุ้นความคิด ทั้งสองลักษณะนี้ ก็แตกต่างกันเช่นกัน
ศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ
เมื่อได้รับศึกษาด้วยความตั้งใจและความ ทะเยอทะยานที่เป็นเชิงลบถูกเรียกว่า
เวทมนต์คาถา คำที่ใช้ในศิลปะความชั่ว ร้ายและเวทมนตร์คาถาก็คือเช่น “ดีวะฮ์” และ “กาลีวะฮ์” นี่เป็นคำก่อนยุค
เซเมติคของประชาชนที่อยู่ในทางนำจนถึงสมัยศาสดาโนอา (นุอ์) ซึ่งเท่ากับคำว่า “อัลลอฮ์” และ “อิลลัลลอฮ์”
หลังจากยุคโนอาแล้วคำว่า “ดีวะฮ์ และ “กาลีวะฮ์” ถูกประกาศเลิกล้มไปและคำว่า “ตัมกะฮ์” และ “ตัมกียะฮ์”
ได้รับการแนะนำ ประชาชนที่อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง
ยอมรับความเปลี่ยนแปลง แต่ประชาชนที่มีลักษณะไปในทางทำลายปฏิเสธที่จะรับรู้
การเปลี่ยนแปลง และ การยกเลิกถูกยอมรับโดยพวกที่ถือเวทมนตร์คาถา
จากนั้นในหลายศตวรรษ ก่อนการมาของศาสดาอิบรอฮีม คำว่า “อัลลอฮ์”
และ “อิลลัลลอฮ์” จึงถูก
ประกาศให้เป็นคำของผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ส่วนคำว่า “ตัมกะฮ์”
และ “ตัมกียะฮ์” ถูกยกเลิก
นับแต่บัดนั้น 2 คำนี้จึงถูกใช้โดยประชาชนผู้อยู่ในทาง นำ
ส่วนผู้ที่ถือเวทมนตร์และคาถา ยังคงใช้ที่ถูกยกเลิกทั้งสอง เพื่อประพฤติ
ปฏิบัติสิ่งที่ชั่วร้ายของตน โดยการกระตุ้นความคิดในเชิงทำลายของพวกเขา
ในคัมภีร์อัล กุรอาน
การเข้าใกล้ความรู้ที่แตกต่างกัน 2 ทางได้รับการ อรรถาธิบายไว้ในเรื่องราวของโมเซส
(มูชา) เมื่อโมเซสเข้าพบฟาโรห์ ในฐานะ ศาสนทูตของพระเจ้า
ฟาโรห์ถือว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโมเซสเป็นเพียงคาถาอาคม และการเล่นกล
และประกาศให้ท่านเป็นนักเวทมนตร์ พร้อมทั้งเชิญไปประชัน
กับนักมายากลของอาณาจักรวันนัดถูกกำหนดขึ้น และทั้ง 2 ฝ่ายต่างมา ประจันหน้ากัน
ฝ่ายหนึ่งคือ โมเซสและอารอน และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นนักมายากล ที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักร
บรรดานักมายากลต่างโยนเชือกและไม้เท้าของตน ลงไป ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นงูและมังกร
เพื่อให้สามารถต่อกรกันได้โมเซสจึงโยน ไม้เท้าของท่านลงบนพื้นตามการดลใจของพระเจ้า
ไม้เท้าเปลี่ยนเป็นงูใหญ่และ ก็นั่งของนักมายากลจนหมด
ณ
ที่นี้มีเรื่องที่ควรสังเกตคือ เมื่อนักมายากลโยนเชือกและไม้เท้าของ พวกเขาลงไป
มันได้กลายเป็นงู และเมื่อโมเซสโยนไม้เท้าลงไป มันได้กลายเป็น งูใหญ่
แล้วมีอะไรแตกต่างกันระหว่างงูและงูใหญ่ ที่เกิดจากการกระทำของ ทั้งสองฝ่าย
ความแตกต่างก็คืองูใหญ่ของโมเซสกลืนกินงูของนักมายากลจน หมด
นั่นหมายความว่าความรู้ของโมเซลอยู่เหนือกว่าความรู้ของนักมายากล
ทำให้บรรดานักมายากลตระหนักถึงความแตกต่างของมัน
การประลองระหว่างโมเซสกับนักมายากล
ตามที่รายงานไว้ในคัมภีร์อัล กุรอาน
ได้รับการอธิบายไว้อย่างละเอียดลออถึงความรู้ของพระเจ้ากับความ รู้ของนักมายากล
นักมายากลพยายามสร้างความพึงพอใจให้พระเจ้า (ฟาโรห์) ของพวกเขา
เพื่อรางวัลทางด้านวัตถุ ขณะที่โมเซสต้องการสร้างความพึงพอ
ใจให้พระเจ้าโดยไม่หวังผลตอบแทนทางวัตถุ ภารกิจของโมเซสต้องการเพียง
ให้พระเจ้าทรงยินดีและรับใช้มนุษยชาติ ความโน้มเอียงเชิงบวกทำให้ท่าน
สามารถเอาชนะความรู้ทางไสยศาสตร์ของบรรดานักมายากลได้ ความรู้ของ
ท่านเป็นแหล่งแห่งการรู้จักพระเจ้า ผู้ทรงสร้าง ความรู้ของศาสดาเป็นความ
รู้ของพระเจ้าและในท้ายที่สุดจะนำไปสู่พระผู้ทรงบันดาลโลกนี้
เราได้รับการเรียกร้องให้มีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้
ของบรรดาศาสดาที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และหลีกเลี่ยงความรู้ที่มีพื้นฐาน
ทางไสยศาสตร์และมารร้าย ด้วยเหตุผลที่แสนจะธรรมดาในบรรดาเหตุผลทั้ง หมด
นั่นคือความรู้แรกมีพลังและมีอำนาจมากกว่าอีกความรู้หนึ่ง ความรู้ใดๆ
ก็ตามที่วางอยู่บนความเห็นแก่คัวและแรงผลักดันเพื่อการทำลายนั้น ไร้
ประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนเองและเพื่อนมนุษย์ ความรู้ที่วางอยู่บนพื้นฐานคำสอน
ของบรรดาศาสดา เป็นความรู้ที่ไม่เพียงยังประโยชน์แก่ผู้เรียนเท่านั้นแต่ยัง
ประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในเชิงทำลาย
จะได้ รับพลังของพระผู้เป็นเจ้า และในท้ายที่สุดก็จะขึ้นสู่เหนือระดับสัตว์ไปสู่
การรู้สำนึกในพระผู้เป็นเจ้าและความจริงสูงสุด
ทั้งหมดที่เรานำเสนอในหนังสือเล่มนี้
กลมกลืนและใกล้เคียงกับระบบคิด บรรดาศาสดา และบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกท่าน
ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีการบันทึก เหตุการณ์เป็นแบบแผนที่แน่นอน
แต่ถ้าความรู้ไต้รับมาโดยการเข้าใกล้ความ ชั่วร้าย
มันก็จะกลายเป็นไสยศาสตร์แทนที่จะเป็นศาสตร์ทางจิตวิญญาณ จาก ศาสดาอับราอัม (อิบรอฮีม) จนถึงโมเซส
(มูซา) จากเยซู
(อีชา) จนถึงศาสดา
มุอัมมัด (ขอความสันติพึงมีแต่ท่านและถูกหลาน) ล้วนได้รับการสั่งสอนโดย
บรรดาศาสดาว่า มนุษย์ควรจะต้องปลอดภัยจากอำนาจที่ชั่วร้ายและควรรู้จัก ตัวเอง
หลังจากคุ้นเคยกับพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพลังอำนาจของ
พระเจ้าและการเข้าใกล้ความคิดที่ถูกต้อง จะเป็นโครงสร้างเชิงบวก ขณะที่
พลังแห่งความชั่วร้ายและไสยศาสตร์ เป็นโครงสร้างของการทำลาย ความโหด ร้ายอำมหิต
และเป็นโศกนาฏกรรมความทุกข์ยากของมนุษยชาติ.
ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี
โลกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับระบบดาราจักร และระบบสุริยะ
วิทยาศาสตร์ได้มาถึงระยะของความก้าวหน้า
ซึ่งมีความต้องการที่จะพยายามเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแสงของดาราจักรและระบบสุริยะกับดาวโลกของเรา
และแสงจากระบบทั้งสองนี้มีอิทธิพลต่อมนุษย์ สรรพสัตว์
พันธุ์พืชและสิ่งไม่มีชีวิตต่างๆ อย่างไร เงื่อนไขและสถานการณ์ของสัตว์
พันธุ์พืชและวัตถุอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ยังมีความเชื่อ
ด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้ล้วนเป็นคลื่น ไม่มีอะไรนอกจากคลื่น
คลื่นซึ่งไม่สามารถเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากแสง
ในเรื่องโทรจิต
ความรู้ดังกล่าวเป็นการขุดค้นถึงสิ่งที่ควบคุมอยู่เบื้องหลัง ความรู้สึก
ซึ่งยังครอบคลุมจิตสำนึกของเรา ความรู้นี้บอกเราว่า