Topics

โทรจิตกับประสบการณ์ ลมหายใจ (ถึงตรงนี้)

ชานิมอะอ์มัด จากละโฮร์ กล่าวว่า

ฉันได้ศึกษางานที่สำคัญๆ เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของนักเขียนตะวัน ออกหรือตะวันตก เกี่ยวกับเรื่องศาสตร์แห่งความลี้ลับและอภิปรัชญาต่างๆ นักเขียนทั้งหมดเขียนเกี่ยวกับการเพ่งเทียน การเพ่งกระจก และการจ้องดูวง กลม ต่างให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่แน่นอนของการฝึกฝนนี้ ตามมาด้วย การสนับสนุนพวกเขาด้วยประสบการณ์ของผู้คนในเรื่องนี้ นักวิชาการได้จัดการ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในขอบข่ายทาง

จิตวิทยาและกฎทางฟิสิกส์เช่นกัน

แต่ทฤษฎีของท่านเกี่ยวกับโทรจิตโดดเด่นและแตกต่างจากของคนอื่น ฉันคิดว่าไม่มีนักเขียนคนอื่นเคยกล่าวสิ่งใดเหมือนกับการฝึกฝนลมหายใจ และการจินตนาการของมหาสมุทรของแสงในบริบทของโทรจิต ตราบเท่าที่ ความสงบของจิตใจได้รับการพิจารณา สำหรับการศึกษาหาความรู้นี้ สิ่งที่จำ เป็นต้องปฏิบัติก่อนอื่นคือการเพ่งเทียนหรือกระจกเงาให้สำเร็จก่อน ท่านจะ บอกผู้อ่านได้หรือไม่ว่า อะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับการฝึกลมหายใจและการ ทำมุรอกอบะฮ์ของแสง

คำตอบ จักรวาลมีพลังงานจลน์ และในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลขนาดเล็ก (ในตัวเรา) หรือจักรวาลขนาดใหญ่ เฟ้อมีความพยายามในการศึกษาเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับชีวิต ก็จะสังเกตได้ ว่าชีวิตของสัตว์และพืชที่มีชีวิตอยู่ อาศัยพื้นฐานของการหายใจเข้าออก และมนุษย์ก็ไม่ได้รับการยกเว้นไปจากกฎข้อนี้

กระแสของชีวิตสัมพันธ์โดยตรงกับลมหายใจ ตราบเท่าที่ยังมีการหายใจ เข้าและการหายใจออก ชีวิตก็ยังอยู่ เมื่อผู้หนึ่งหยุดการสูดออกซิเจนเข้า เรา ถือว่าเขาสิ้นใจ ด้วยการหยุดหายใจปรากฏการณ์ของชีวิตในโลกนี้ก็ถึงจุดจบ ด้วย ลมหายใจหรือการหายใจเข้าออกเหมือนกับปรากฏการณ์อื่นๆ ใน จักรวาล นั่นคือมี 2 ด้านและ 2 ทบ การสูดอากาศเข้า หรือการหายใจเข้า คือด้านหนึ่งของมัน และอีกด้านหนึ่งคือ ปล่อยลมออกหรือการหายใจออก

การสูดอากาศเข้า ตามทัศนะทางด้านจิตวิญญาณ ทำให้มนุษย์เข้าใกล้ ตัวตนภายในหรือวิญญาณของเขามากขึ้น และการปล่อยอากาศออกทำให้เขา ห่างออกจากตัวตนภายในของเขาเอง เมื่อเราสูดอากาศเข้า เราจะเข้าใกล้ด้าน ในของเรา นักจิตวิญญาณนิยมเรียกว่า การเคลื่อนไหวของลัคนา และเมื่อเรา ปล่อยอากาศออก เราออกห่างจากด้านในของตัวเอง การเคลื่อนไหวนี้ได้คำจำกัดความว่า การเคลื่อนไหวที่คล้อยต่ำลง

ชีวิตยังคงแกว่งไปมาระหว่างการเคลื่อนไหวทั้งสองด้านนี้ อารมณ์และ ความเลิก ความคิดและการจินตนาการ กิจกรรมทุกอย่างของเรา และผล ประโยชน์ในกิจกรรมอันหลากหลายยังมีอยู่ ตราบเท่าที่ยังมีระบบของการ หายใจเข้าออกอยู่ ในตอนแรกมีการพิจารณาว่าสัตว์ที่มีชีวิตเท่านั้นที่หายใจเข้า ออก ต่อมามนุษย์คนพบว่าพืชก็มีการสูดลมหายใจเข้าออกเช่นกัน และพืชรวม ทั้งสัตว์ทุกสายพันธุ์ มีอัตราการหายใจที่เฉพาะของตนเอง และอัตราการหายใจ นี้สัมพันธ์โดยตรงกับการเต้นของหัวใจ ตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจ มนุษย์คือ 72 ครั้งต่อนาที กระนั้นอัตรานี้จะไม่พบในแพะ หรือสัตว์อื่นๆ การกระตุ้นที่แสดงถึงการหายใจในพืช และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆ ก็สัมพันธ์กับอัตรา การหายใจเฉพาะของสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน ด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าเราสามารถผลิต เครื่องมือวัดอัตราการหายใจเขาออกของพืชและสิ่งที่ไม่มีชีวิตอื่นๆ ก็จะพบว่า อัตราการหายใจเข้าออกของพืชแตกต่างและสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งสิ่งที่ดูภายนอกว่าไม่มีชีวิต มนุษย์หายใจเข้าออก 18 ถึง 20 ครั้ง ต่อนาที และภูเขาหายใจ 1 ครั้งต่อ 15 นาที

ทุกคนรู้ดีว่า เราหายใจเข้าและหายใจออก นอกจากนั้นเรายังรู้ด้วยว่า อัตราการหายใจในยามกังวล

แตกต่างจากในยามสงบและเป็นปกติ ในทำนอง เดียวกันอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจในยามหวาดกลัวก็แตกต่างจากในยามที่ไม่หวาดกลัว

ตามที่กล่าวแล้วข้างต้นว่าการหายใจเข้าออกเป็นการเคลื่อนไหว 2 ทาง ทางที่หนึ่งคือสูดลมหายใจเข้า นั่นคืออกซิเจนถูกดูดซับ และปล่อยลมหายใจ ออก นั่นคือคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมา เมื่อเราหายใจเข้าออกซิเจน ที่มีอยู่ในอากาศถูกสูดเข้าไป ซึ่งมันถูกเผาไหม้เหมือนกับเชื้อเพลิง และจากนั้น วัตถุจำนวนมากที่ถูกผลิตในระหว่างการเผาไหม้นี้ ก็ถูกปล่อยออกมาภายหลัง การหายใจออก และอนุกรมของการหายใจเข้าและหายใจออก ยังคงเกิดขึ้น ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ ตามทรรศนะศาสตร์แห่งจิตวิญญาณและคำดำรัส ของพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกแล้ว ทุกสิ่งมาจากพระองค์และจะต้องกลับคืน ไปสู่พระองค์ เมื่อเราหายใจเข้าเราเชื่อมโยงกับด้านในของตัวเราเอง หรือกล่าว ได้ว่าเราอยู่ในภาวะที่กำลังได้รับบางสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าของเรา และเมื่อ หายใจออก ความสนใจของเราทั้งหมด เกิดสัมพันธ์กับร่างที่เป็นวัตถุธาตุและ โลกีย์วิสัยรอบตัวเรา หรืออาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ของเรากับความรู้สึก ทางโลกได้เกิดขึ้น

ความรู้สึกก็เช่นกัน มี 2 ประเภท หนึ่งในประเภทของความรู้สึกก็คือ ความรู้สึกว่าเรายังคงถูกกักขังอยู่ในความจำกัดของที่ว่างและเวลา และเอาตัวเราไปสัมพันธ์กับโลกที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัตถุนี้ ความรู้สึกอีกประเภทหนึ่ง ปลดปล่อยเราออกจากความจำกัดของที่ว่างและเวลา และความสัมพันธ์กับ เรื่องทางโลก ความรู้สึกประเภทนี้ครอบงำเราในภาวะที่นอนหลับ หรือในทำนอง เดียวกับการนอนหลับ เมื่อเราอยู่ในภาวะเหมือนกับการนอนหลับความรู้สึก สำนึกจะถูกปฏิเสธ และถูกปลดปล่อยจากขีดจำกัดของกาลเทศะ ความรู้สึก ที่เรามีประสบการณ์ในความฝัน ถูกเรียกว่าความรู้สึกชอบกลางคืน และความ รู้สึกแบบเดียวกันนี้ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งทรงเรียกว่า (ความรู้สึก) ของเวลา กลางคืน ความรู้สึกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งสัมพันธ์กับการตื่นขึ้นถูกเรียกว่าความ รู้สึกชอบเวลากลางวัน และพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกว่า (ความรู้สึก) เวลากลางวัน ระหว่างความรู้สึกของเวลากลางคืน สิ่งถูกสร้างทั้งหมดได้รับการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากกาลเทศะ และเมื่อความรู้สึกกลางวันครอบคลุมสิ่งถูกสร้างทุก ชนิด ก็จะถูกกักขังอยู่ในความจำกัดของที่ว่างและเวลา

เมื่อเราหายใจเข้า ก็จะเข้าใกล้ชิดกับความรู้สึกกลางคืน อันเป็นความ รู้สึกซึ่งต้องการสำหรับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณ และเมื่อหายใจออก เราจะออกห่างจากความรู้สึกกลางคืน และเข้าใกล้ชิดกับความรู้สึกกลางวัน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทำให้ความรู้ในเรื่องโลกีย์วัตถุรอบๆ ตัวเราเพิ่มมากขึ้น ทั้งในแง่กาลเทศะ

เมื่อความสนใจของเราถูกรวมศูนย์อย่างเข้มข้นไปยังจุดใดจุดหนึ่ง ไม่ว่า ดวงตาของเราจะปิดหรือไม่ก็ตาม ระยะเวลาการหายใจเข้าจะเพิ่มขึ้น นั่นคือ ความสำนึกของเราจะเคลื่อนไปสู่วิญญาณหรือด้านในของเรามากขึ้น

นี่คือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการแนะนำในการฝึกฝนลมหายใจ ในทางอภิปรัชญาและศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น โทรจิต ผู้หนึ่งสามารถเข้าใกล้ ชิดกับด้านในของเขาได้โดยผ่านทางการฝึกฝนลม

หายใจ ความคุ้นเคยกับด้าน ในของตัวเอง ก่อให้เกิดการสำนึกรู้ถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในของ วิญญาณ และผู้หนึ่งก็จะเริ่มมีประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาพลังเจตนารมณ์ และก่อให้เกิดผลประโยชน์ รวมทั้งความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปของ โลกีย์วัตถุรอบๆ ตัวเรา

สำหรับการศึกษาศาสตร์ด้านนอกอภิปรัชญานั้น ต้องมีจิตใจที่ทรงพลังและประสาทที่แข็งแรง เพื่อให้มีประสาทที่ยืดหยุ่น จิตใจที่กระตือรือร้น และเพื่อส่งเสริมการเคลื่อนตัวของความสามารถที่ซ่อนอยู่ การฝึกฝนลมหายใจได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีประโยชน์และเป็นผลดีที่สุด เมื่อผู้หนึ่งได้เข้าควบคุมเหนือการหายใจ องค์ประกอบทางความสามารถของเนื้อเยื้อและเซลล์สมองจะได้รับการประจุ เมื่อลมหายใจถูกกักอยู่ในปอด และตระเตรียมโอกาสที่ดีกว่า สำหรับการกระตุ้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ไว้ได้

นักจิตวิญญาณนิยม ได้สร้างกฎและแบบแผนต่างๆ ของการฝึกลมหายใจ ซึ่งถ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะยังประโยชน์มากมายทางด้านจิตวิญญาณและทางด้านกายภาพ คลื่นของสุขภาพและพลังงาน ก็เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านการหายใจเข้าออกด้วยเช่นกัน หากจินตนาการก็คือ ผู้หนึ่งนั่งอยู่ในที่เปิด ซึ่งคลื่นพลังงานและสุขภาพได้เข้ามาในร่างกายของเขาพร้อมๆ กับการสูดลมหายใจเข้า และถูกซึมซับไว้ในร่างกายทุกครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงก็เกิดขึ้นเช่นนั้น การฝึกฝนหายใจที่แน่นอน จะฟอกเลือดและเร่งอัตราการไหลเวียนของโลหิต ส่งเสริมความสามารถทางอารมณ์ และทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นสงบลง ผู้หนึ่งสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ของตนเองได้เกือบทั้งหมด โดยผ่านการฝึกฝนลมหายใจ ปัญหาระบบการย่อย กระเพาะอาหารและแผลในลำไส้ อาการท้องผูก นิ่วในไต ปวดหัว โรคลมบ้าหมู และอาการป่วยทางอารมณ์ อื่นๆ โรคตา ฯลฯ ทั้งหมดนี้สามารถบำบัดรักษาได้โดยการฝึกฝนลมหายใจ ไข้หวัดใหญ่และหวัดธรรมดา ปวดไหล่ ลำคอและจมูก สามารถบำบัดรักษาได้ โดยอัตโนมัติ เมื่อมีการฝึกฝนลมหายใจตามกำหนด ตามวิธีการรักษามีการสังเกตเช่นกันว่า ผู้ที่ยอมรับวิธีการฝึกฝนลมหายใจใดๆ เป็นการเฉพาะในฐานะกิจวัตรประจำวันของชีวิต จะอยู่อย่างสดชื่นและร่าเริงเหมือนคนหนุ่มสาว ทั้งที่อยุ่ในวัย 60 หรือ 70 ปีแล้ว ไม่ค่อยพบว่าพวกเขามีความเศร้าหมองหรือ วิตกกังวลและผิวหนังก็ยังคงเต่งตึง แม้ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขา

ผู้ที่มีการฝึกฝนการหายใจตามกำหนด ภายใต้การควบคุมดูแลของครู จะสามารถแลกเปลี่ยนความคิดของตนกับคนอื่นได้ พลังดังกล่าวที่ผลิตขึ้นใน ตัวพวกเขา ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วยการ โทรจิต พวกเขาสามารถส่งความต้องการของตนโดยทางโทรจิต และสามารถ รับความคิดของผู้อื่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้แสดงออกมาเป็นคำพูด แต่พวกเขาจะต้อง จดจำสำหรับการศึกษาโทรจิต คือ เพียงแค่การฝึกฝนลมหายใจนั้นไม่เพียงพอ เสาอากาศที่ติดตั้งในด้านในของตัวเราเองสามารถส่งหรือรับได้ เมื่อ จิตใจได้รับการบำรุง ด้วยความสามารถที่จะรวมศูนย์ความสนใจอย่างเข้มข้น เท่านั้น ความสามารถของพระผู้เป็นเจ้านี้ สามารถทำหน้าที่และถูกกระตุ้น ได้ เมื่อเราศึกษาเพื่อที่จะจมดิ่งลงไปในการเคลื่อนไหวที่มีอำนาจของวิญญาณ ของเรา ด้วยการเอาใจใส่อย่างอุทิศและเข้มข้น

เราไม่สามารถสร้างเส้นทางเข้าไปสู่ด้านใน ที่ซ่อนเร้นที่สุดของจักรวาล ได้ ถ้าไม่รับรู้และไม่คุ้นเคยกับความลับของจักรวาล เพื่อสร้างทางเข้าไปสู่ ฟากฟ้าและใจกลางของจักรวาล เราต้องสามารถควบคุม

เหนือช่วงของการ หายใจ ซึ่งสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวที่ประสพความสำเร็จ การสูดลมหายใจ อย่างลึก หรือการนำออกซิเจนเข้าไปในปอด ทำให้เราเข้าใกล้ชิดกับสภาวะจิต ไร้สำนึก และการผ่อนลมหายใจหรือการปล่อยอากาศออก นำความสำนึกมา สู่ตัวเรา เมื่อชีวิตที่มีสำนึกตื่นตัวขึ้น จิตไร้สำนึกก็จะกลับเข้าไปอยู่เบื้องหลัง และเมื่อชีวิตที่จิตไร้สำนึกตื่นตัว ความเคลื่อนไหวของชีวิตที่มีจิตสำนึกก็จะถูก กดเอาไว้ พลังลึกลับของจิตใจสามารถถูกทำให้ทำงานได้ เมื่อการเคลื่อนไหว ที่มีอำนาจของการหายใจเข้าออกถูกควบคุมโดยสมองเท่านั้น

เราได้กล่าวไปแล้วว่ามนุษย์คือส่วนประกอบของแสงที่ขดม้วนตัว พื้นฐานของแสงเหล่านี้คือรัศมี (นูร) ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง เนื่องจากลม หายใจสัมพันธ์กับชีวิต ความคิดจึงสามารถเรียกว่าเป็นชีวิตได้ด้วย กล่าวอีก อย่างหนึ่ง ลมหายใจมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อชีวิตของความคิด

ที่นี้ถ้าชีวิตถูกวิเคราะห์ ก็จะสังเกตเห็นได้ว่าความคิดก็มี 2 ประเภท นั่น คือ ความคิดระดับต่ำหรือการเข้าใกล้การเสื่อม ขณะที่ความคิดอีกประเภทหนึ่ง ไปทางทิศทางที่ หลังจากยกเราจากที่ต่ำแล้วก็จะนำเราสู่ความสูงส่งและบริสุทธิ์ ในลักษณะทั่วไป ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ รู้จักกันว่าเป็นความบริสุทธิ์และสุกสว่าง ของความคิด หรือความสลับซับซ้อนและมืดมัวของความคิด ความบริสุทธิ์ของ ความคิดสัมพันธ์กับสิ่งที่ความคิดเข้าไปหา ถ้าความคิดเข้าหาความเคร่งครัด มนุษย์ก็จะผูกพันที่จะมีชีวิตอย่างมีความสุขและร่มเย็น ความสันติและความ สงบภายใน พัฒนาความสามารถที่เข้มข้น สิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือการเข้าใกล้ ความชั่วร้ายและความมืด ซึ่งเป็นสาเหตุของความผิดหวัง ความห่อเหี่ยว ความเสียใจและความทุกข์ยาก ซึ่งในเวลาเดียวกัน รบกวนความเข้มข้นของ ความคิดและยังเป็นสาเหตุของความตกต่ำอีกด้วย

สิ่งนี้ยังสามารถกระทำได้ในวิถีทางอื่นด้วย คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์บอกมนุษย์ ว่า การสร้างสรรค์มนุษย์ที่แท้จริงนั้น เกิดขึ้นในปริมณฑลของความเป็นอมตะ มนุษย์ถูกส่งมายังโลกนี้ เมื่อเขาได้ปฏิบัติสิ่งที่ฝ่าฝืนคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า โลกซึ่งส่วนที่ความเป็นอมตะดำรงอยู่ ถูกทำให้เขามองไม่เห็น แต่มนุษย์ก็มีความสุขกับความสัมพันธ์แบบซ่อนเร้นกับปริมณฑลอันอมตะดังกล่าว การดำรงอยู่ ของมนุษย์ในสภาพอมตะ มีความสัมพันธ์กับวิญญาณของเขา ร่างกายที่เป็น วัตถุของมนุษย์ประกอบขึ้นด้วยความรู้สึกดังกล่าว ซึ่งถูกกักและรับภาระต่อ ระยะทางของตัวมนุษย์กับวิญญาณ เมื่อเราสูดลมหายใจเข้า เราเข้าใกล้ชิดกับความเป็นอมตะมากขึ้น และเมื่อปล่อยลมหายใจออก จะออกห่างจากความ เป็นอมตะและสติปัญญา การปล่อยลมหายใจออกคือม่านที่กั้นระหว่างความ เป็นอมตะและชีวิตในปัจจุบันของเรา เมื่อลมหายใจอยู่ในปอดของเรา ความ สัมพันธ์กับความเป็นอมตะก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

การฝึกฝนลมหายใจรวมอยู่ในบทเรียนของโทรจิต เพื่อว่ามนุษย์จะได้เข้าใกล้ด้านในของเขา นั่นคือวิญญาณ ความสำเร็จที่แท้จริงในเรื่องวิชาการทางด้านอภิปรัชญาจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าผู้นั้นไม่เข้าใกล้วิญญาณของเขา

โดยทั่วไปผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องโทรจิต มีความทะเยอทะยานของการ ได้รับในเรื่องวัตถุจากความรู้

ของพระเจ้านี้ ดังนั้นพวกเขาสามารถมีความได้ เปรียบอยู่บ้าง หลังจากได้รับอิทธิพลจากตัวกลางของตน แต่พวกเขาคือผู้ที่ ศึกษามัน ดังนั้น จึงสามารถรับใช้สิ่งถูกสร้างของพระเจ้าได้ ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถรักษาคนไข้ โดยการส่งความคิดที่ดีงามไปยังคนเหล่านั้นได้ จิตใจของผู้คนที่ศึกษาคาสตร์แขนงนี้ ทำงานตามการเข้าใกล้ความคิดที่เข้าไป ใกล้ของตน

ผู้ที่ทำการมุรอกอบะฮ์ของแสงนั้น ได้รับการแนะนำเกี่ยวกับจุดประสงค์ ของความเข้มข้นทางด้านอารมณ์ ดังนั้นนอกจากได้รับความสันติทางจิตใจและ ความสงบเยือกเย็นด้านในแล้ว แนวทางความคิดยังถูกกำจัดออกไป ด้วยความ คิดที่เข้าใกล้ความเคร่งครัด นำเราเข้าใกล้ชิดกับวิญญาณของเรามากขึ้น และ ความฉลาดหลักแหลมดังกล่าวที่ถูกสร้างขึ้นในมนุษย์ ซึ่งในคำกล่าวของซูพี (รหัสยนิยม) ถูกเรียกว่าความคิดที่เข้าใกล้ความเที่ยงตรง

เราได้นำเสนอสภาวะที่ผู้ศึกษาเรื่องโทรจิตได้ประสบระหว่างหลักสูตร การปฏิบัติการฝึกฝนครั้งแรกของพวกเขาไปแล้ว ท่านต้องสังเกตเห็นว่า ความ คิดของผู้คนทั้งหมดนี้โน้มเอียงไปสู่แสงโดยอัตโนมัติ และเมื่อบางคนมีความคุ้นเคยกับแสงไม่เพียงแต่ชีวิตของเขาจะได้รับการประดับประดาเท่านั้น แต่ยัง กลายเป็นวิถีทางของการปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของสิ่งถูกสร้างของพระ เจ้าอีกด้วย

เราแน่ใจว่าผู้อ่านของเราจะได้รับความคิดที่เข้าใกล้ความเที่ยงตรงด้วย ความสามารถที่พัฒนาขึ้นอย่างเข้มข้น และหลังจากเตรียมตัวในการเข้าใกล้ ความเคร่งครัดและการศึกษาเรื่องโทรจิตนี้แล้ว พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อย ความตึงเครียด ความทุกข์ใจ ความตกต่ำและจะกลายเป็นเครื่องมือในการรับใช้สิ่งถูกสร้างของพระเจ้า 

Topics


Learn Therapathy (Thai)

ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี

โลกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับระบบดาราจักร และระบบสุริยะ วิทยาศาสตร์ได้มาถึงระยะของความก้าวหน้า ซึ่งมีความต้องการที่จะพยายามเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแสงของดาราจักรและระบบสุริยะกับดาวโลกของเรา และแสงจากระบบทั้งสองนี้มีอิทธิพลต่อมนุษย์ สรรพสัตว์ พันธุ์พืชและสิ่งไม่มีชีวิตต่างๆ อย่างไร เงื่อนไขและสถานการณ์ของสัตว์ พันธุ์พืชและวัตถุอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ยังมีความเชื่อ ด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้ล้วนเป็นคลื่น ไม่มีอะไรนอกจากคลื่น คลื่นซึ่งไม่สามารถเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากแสง

ในเรื่องโทรจิต ความรู้ดังกล่าวเป็นการขุดค้นถึงสิ่งที่ควบคุมอยู่เบื้องหลัง ความรู้สึก ซึ่งยังครอบคลุมจิตสำนึกของเรา ความรู้นี้บอกเราว่า