Topics

ตัวอย่าง

เมื่อเราเสียชีวิต ร่างกายจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้จากการเคลื่อนไหว ด้วยตัวของมันเอง เราอาจเฉือนร่างกายนี้ออกเป็นชิ้นๆ ลากไปตามถนน ทุบตี เหวี่ยงทิ้งข้างทาง จะทำอย่างไรก็ได้ ร่างกายนี้จะไม่มีการต่อสู้

ป้องกันตัวเอง หรือมีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียวที่จะกลับมามีชีวิตใหม่

ทีนี้ขอให้เรานำตัวอย่างดังกล่าวมาเป็นประโยชน์ในวิธีการนี้

ถ้ามีความต้องการให้เสื้อที่เราสวมใส่อยู่นี้ สามารถเคลื่อนไหวได้ ด้วยตัวเอง ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เสื้อเคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กับร่างกายที่สวมใส่เสื้อนี้อยู่ แขนเสื้อเคลื่อนไหวไปตามการฝึกซึ่งของแขนที่อยู่ในแขนเสื้อ ถ้าท่านต้องการฝึกซึ่งแขน โดยไม่ทำให้แขนเสื้อที่ถูกสวมใส่อยู่เคลื่อนไปด้วย นี่ก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลเช่นกัน ตราบเท่าที่แขนเสื้อยังอยู่บนแขน ก็จะผูกติดอยู่กับการแกว่งของแขน กรณีเดียวกันกับร่างกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ เมื่อร่างกาย ถูกเรียกว่า เสื้อผ้านี่หมายความว่าร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อและกระดูก เครื่องแต่งกายของวิญญาณ ตราบเท่าที่วิญญาณยังปรากฏอยู่ แต่ร่างกายและเคลื่อนที่ไป และเมื่อวิญญาณไม่ได้ปรากฏอยู่อาภรณ์ของวิญญาณ ร่างกาย ก็เปรียบเสมือนเสื้อผ้าที่ถูกทอดทิ้ง

มนุษย์ประกอบด้วยแรงกระตุ้นและความต้องการ 2 ประเภท คือ สัญชาตญาณและโลกียวิสัย เราสามารถควบคุมแรงกระตุ้นทางสัญชาตญาณ แต่เท่าที่แรงกระตุ้นทางโลกียวิสัยได้รับการพิจารณา เราสามารถควบคุมได้ เพียงบางส่วนเท่านั้น เราไม่สามารถปฏิเสธทั้งสองได้ ดังตัวอย่างที่ว่า มารดา มีความรักต่อลูกเมื่อลูกเสียชีวิตลง เธอก็เริ่มสงบลงหลังจากที่แสดงความโศก เศร้าอย่างหนัก วลีพื้นๆ ว่าความรักของแม่ ถูกถือเป็นแรงกระตุ้นทางโลกียวิสัย แรงกระตุ้นนี้ความจริงเป็นสัญชาตญาณมากกว่าเป็นโลกียวิสัย ถ้าแรงกระตุ้นนี้เป็นโลกียวิสัย มารดาจะต้องตายไปพร้อมกับลูกของเธอ หรือสิ้นสติ สมปฤดี แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้น

เมื่อเราหยิบยกกรณีอื่นเกี่ยวกับแรงกระตุ้นทางโลกียวิสัยมาสู่การ พิจารณาอย่างเช่น ความหิวและการนอน เราก็จะรู้ว่าบุคคลผู้หนึ่งสามารถปรับ การกินอาหารเพื่อระงับความหิวของตน แต่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดย ปราศจากการกินอาหารและดื่มน้ำ ในทำนองเดียวกันไม่มีใครตื่นอยู่ตลอดชีวิต ของตนโดยไม่มีการนอน

อย่างไรก็ตาม ในขอบข่ายแห่งความจริงเหล่านี้ เราสามารถกล่าวได้ว่า อารมณ์หรือแรงกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นโลกียวิสัยหรือสัญชาตญาณนั้นเกี่ยวพันกับความคิด เราจะยังคงอยู่ในภาวะที่ไม่รู้เกี่ยวกับแรงกระตุ้น ยกเว้นว่าจะเกิด ขึ้นในรูปแบบของความคิด ความรู้สึกของการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น คำพูดและการสัมผัส จะยังคงอยู่ในการเคลือบคลุมถ้าความคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่า นี้ไม่มีอยู่

เป็นหนึ่งใน แรงกระตุ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะค้นพบว่า ความคิด นั้นมาสู่เขาจากที่ไหนและอย่างไร และการที่เสี้ยวเล็กๆ ของความคิด ได้รวม กันเข้าจนสร้างแบบแผนของชีวิตเราในท้ายที่สุด

โดยทั่วๆไป ความคิดถูกครอบงำในฐานะ อัตตาอัตตาหรือแบบแผน ทางความคิดนี้คือ การจับกลุ่มกันของสภาวะที่เป็นการรวบรวมของสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นปัจเจก ดวงดาวและอนุภาค คือการสรรค์สร้างในประเภทคล้ายๆ กัน ไม่ว่าทั้งสองสิ่งจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับเรา หรือเราไม่รับรู้โดยสิ้นเชิงเกี่ยว กับความจริงข้อนี้ การแลกเปลี่ยนความคิดดังกล่าว ก็ยังคงเกิดขึ้นระหว่าง ดวงดาว ดาวเคราะห์ อนุภาคและสิ่ง

ถูกสร้างทั้งหลายโดยวิธีการทางความคิด คลื่นความคิดของสิ่งถูกสร้างเหล่านี้ ได้ช่วยเหลือความคิดของเราอย่างมาก และคลื่นความคิดของเราก็ได้ช่วยเหลือในความคิดของสิ่งเหล่านั้นด้วยในความเป็นจริงจักรวาลทั้งหมดเหมือนกับครอบครัว ยุ่งอยู่กับการแลกเปลี่ยนความคิด ระหว่างปัจเจกชนในครอบครัว ญินและ เทวทูตมีความใกล้ชิดกับเราอย่างมาก ในแบบแผนความคิดของพวกเขา เพราะฉะนั้น ทั้งสองจึงเคยชินกับเรามาก

เราถูกเชื่อมโยงกับระบบดาราจักร และมีการสร้างการเชื่อมต่อกับดาราจักรเหล่านั้น ความคิดที่ยังคงปรากฏออกมาในความคิดของเรา มาถึงเรา จากระยะทางที่ห่างไกลจากระบบแห่งการตั้งหลักแหล่งผ่านทางแสง คลื่นแสง เป็นตัวนำพาภาพตัวอย่างต่างๆ กันของการนำเสนอความคิด ในรูปของความ นึกฝัน ความเห็น จินตนาการและการพินิจพิจารณา ฯลฯ เราถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการตามอำเภอใจและความนึกคิดของเราเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ แบบแผนทางความคิดของสิ่งถูกสร้างทั้งมวลมีจุดร่วมกัน และเป็นจุดร่วมกัน จริงๆ หลังจากการรวบรวมภาพตัวอย่างต่างๆ กันของการนำเสนอความคิด มาให้ข้อมูลฝึกให้เราเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ความรู้นี้ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของปัจเจก และ ความเป็นคนแบบใดของเขา การแสดงภาพตัวอย่างต่างๆ กัน ถูกหล่อไปใน รูปแบบนั้น ซึ่งได้รับการยอมรับโดยจิตสำนึก ตามคุณค่าแห่งอัตตาของมัน

ณ ที่นี้คงจะไม่ออกนอกประเด็นที่จะกล่าวว่า สิ่งถูกสร้าง 3 ประเภท มีความเหมือนกันมากในนิสัยใจคอและท่าทีของพวกเขา และทั้งสามนี้ถูกกล่าวไว้ ในอัล กุรอานว่า มนุษย์ เทวทูตและญิน

เผ่าพันธุ์ทั้งสามนี้ สามารถพบได้ในระบบดาราจักรของจักรวาล

ธรรมชาติออกแบบระบบดังกล่าว เพื่อให้เผ่าพันธุ์ทั้งสามนี้กลายมาเป็นคนงานผู้สร้างสรรค์ คลื่นของการสร้างสรรค์จากจิตใจของพวกเขาแผ่ซ่านไปในจักรวาล และเมื่อคลื่นเหล่านี้ไปถึงจุดที่เหมาะสม หลังจากครอบคลุมระยะทางที่แน่นอน ปรากฏการณ์หรือการสำแดงก็จะเกิดขึ้น

จักรวาลคือชื่อของระยะทางของที่ว่าง และเวลา ซึ่งสร้างขึ้นโดยคลื่นของอัตตาที่ผสมผสานผันแปรไปมา ความจริงกาลเทศะ คือรูปแบบที่แตกต่าง กัน 2 รูปแบบของการผันแปรนี้ 

Topics


Learn Therapathy (Thai)

ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี

โลกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับระบบดาราจักร และระบบสุริยะ วิทยาศาสตร์ได้มาถึงระยะของความก้าวหน้า ซึ่งมีความต้องการที่จะพยายามเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแสงของดาราจักรและระบบสุริยะกับดาวโลกของเรา และแสงจากระบบทั้งสองนี้มีอิทธิพลต่อมนุษย์ สรรพสัตว์ พันธุ์พืชและสิ่งไม่มีชีวิตต่างๆ อย่างไร เงื่อนไขและสถานการณ์ของสัตว์ พันธุ์พืชและวัตถุอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ยังมีความเชื่อ ด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้ล้วนเป็นคลื่น ไม่มีอะไรนอกจากคลื่น คลื่นซึ่งไม่สามารถเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากแสง

ในเรื่องโทรจิต ความรู้ดังกล่าวเป็นการขุดค้นถึงสิ่งที่ควบคุมอยู่เบื้องหลัง ความรู้สึก ซึ่งยังครอบคลุมจิตสำนึกของเรา ความรู้นี้บอกเราว่า